นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในปี 68 ที่คาดว่าค่ากลางจะอยู่ที่ 2% มีความเป็นไปได้ หลังที่ผ่านมาการประสานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังดีขึ้น ซึ่งในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อนั้น นโยบายการคลังมีหน้าที่ดูว่าเศรษฐกิจฝืด หรือมีทิศทางเป็นอย่างไร และต้องเข้าไปกระตุ้นด้วยมาตรการทางการคลัง ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าภาคการคลังมีพื้นที่จำกัด ขณะที่มาตรการด้านการเงินก็ต้องพิจารณาผ่านเรื่องอัตราดอกเบี้ย เพราะมีผลกระทบโดยตรงกับอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นทั้ง 2 ขาจึงต้องทำงานร่วมกัน จะเหยียบคันเร่ง หรือเหยียบเบรกก็ต้องพิจารณาร่วมกัน
โดยที่ผ่านมาการประสานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังดีขึ้น หลังจากที่เรามีการพูดคุยกันมากขึ้น มีการจูนภาพทางเศรษฐกิจให้ตรงกันมากขึ้น ทำให้มุมมองต่อเศรษฐกิจ และการมองความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจตรงกันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อนั้น การทำให้ค่ากลางขึ้นไปแตะที่ 2% น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังเชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อวิ่งขยับขึ้นมาพอสมควร ขณะที่มาตรการด้านการคลังจะมีเม็ดเงินก้อนใหญ่อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น ทั้งหมดคือความพยายามที่จะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อวิ่งขึ้นไปแตะค่ากลาง
ส่วนการอัดฉีดเม็ดเม็ดเงินจะต้องพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจ ความเหมาะสมของเวลา เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณจำกัด ดังนั้นอาจจะต้องเปลี่ยนจากการกระตุ้นมาเป็นการรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินการจะต้องดูว่าช่วงไหนจะปรับ ช่วงไหนจะชะลอ ต้องดูความเหมาะสมในการใส่เม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะต้องพิจารณาใน 2 เรื่องหลัก คือ อัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่ค้าและคู่แข่ง รวมทั้งต้องไม่ผันผวน ฉวัดเฉวียนจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถวางแผนในการดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้
ขณะที่การเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับการที่จะทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ นั่นหมายความว่าการดูแลเรื่องนี้จะต้องดูไปถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและนโยบายทางการเงินในภาพรวม ที่จะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม