บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด สร้างความกังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย โดย Bond Yield สหรัฐฯ ปรับขึ้น เช่นเดียวกับดอลลาร์แข็งค่า มองเป็นปัจจัยกดดันดัชนี โดยมีแนวรับที่ 1360 และ 1350 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวยังถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1375-1380 จุด
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 51.6 คงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อประชาชนมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ จากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยสมาคมโรงแรมไทยเผยอัตราจองห้องพักในช่วงตรุษจีนของโรงแรมในเมืองหลัก เช่น กทม. เชียงใหม่ ภูเก็ต จะอยู่ที่ 70% ส่วนพัทยาคาดจะอยู่ที่ 80% ซึ่งเป็นผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่า ด้านนายกรัฐมนตรีสั่งกระทรวงดีอีติดตามข่าวปั่นทำลายภาพลักษณ์เมืองไทย ด้านสมาคมตราสารหนี้เตรียมออกเกณฑ์ใหม่คุมออกหุ้นกู้ไฮยีลด์หวังสกัดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ เพื่อเร่งฟื้นคืนความเชื่อมั่น-ปกป้องผลประโยชน์นักลงทุน
ด้านปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ IMF เตือนเศรษฐกิจโลกปี 2568 จะเผชิญความไม่แน่นอนมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากร-เงินได้ และการยกเลิกกฎระเบียบ-ปรับประสิทธิภาพ , สหรัฐฯ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค. 2568 ปรับลงสู่ 73.2 ต่ำกว่าตลาดคาด และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ธ.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 2.56 แสนตำแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด ทำให้เฟดอาจต้องดำเนินมาตรการที่ระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ,กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซีย เช่น Gazprom Neft, Surgutneftegas และเรือบรรทุกน้ำมันกว่า 180 ลำ เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารโจมตียูเครน รวมทั้ง ธนาคารกลางจีน (PBOC) ออกแถลงจะระงับซื้อพันธบัตรรัฐบาลในวันที่ 10 ม.ค. โดยอ้างว่าเกิดความขาดแคลนพันธบัตรในตลาดและตลาดคาดว่าทำไปเพื่อปกป้องค่าเงินหยวนที่กำลังอ่อนค่าลง
ทั้งนี้ ในช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัวโดยมีแนวต้านที่บริเวณ 1,400 จุด แม้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแย่กว่าภูมิภาคจากความกังวลเสถียรภาพการเมืองและ ESG ของบจ. รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการส่งออกรถยนต์ที่คาดอ่อนแอลง แต่ยังมีความคาดหวังต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าครองชีพในประเทศเพิ่มเติม รวมถึงการเริ่มต้นของมาตรการ Easy E-Receipt ตั้งแต่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 จะช่วยกระตุ้นงบ 1Q68 ด้านปัจจัยต่างประเทศ ตลาดคาด GDP 4Q67 ของจีนจะเพิ่มขึ้น 5%YoY และเงินเฟ้อ ธ.ค. 2567 ของสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น 2.9%YoY ทั้งนี้มองแนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและการลดดอกเบี้ยของเฟดจะยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม อาจจะไม่กดดันลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการ Easy E-Receipt ช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ. 2568 และเงินหมื่นเฟส 2 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำ กลุ่มพาณิชย์ (CRC HMPRO CPALL TNP) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CBG OSP) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT)
2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ต แนะนำ AP KTB BBL PTT
3. หุ้น Earnings Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนโมเมนตัมกำไร 4Q67 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพการจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือก OSP AMATA AU TIDLOR BCP
4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเก็งกำไรใน 1) หุ้นที่ได้ Sentiment บวกหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น แผนดึงเม็ดเงินลงทุน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Entertainment Complex และลดค่าครองชีพ-เพิ่มกำลังซื้อ แนะนำ กลุ่มนิคมฯ (WHA AMATA) กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CRC) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT AWC) และ 2) หุ้นที่ราคา Laggard (เทรด PER 68F ต่ำกว่า -1SD) แต่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มเติบโตดี แนะนำ BTG BEM BDMS
สำหรับหุ้นเด่น ได้แก่
-CPALL: 4Q67 คาดจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากเข้าสู่ High Season และยอดขายสาขาเดิมยังเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งมาร์จิ้นยังกว้างขึ้นต่อเนื่องจากกมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มเติมของรัฐบาลและการปรับลดดอกเบี้ยจะเพิ่ม Upside ให้กับประมาณการ
-PTTEP: ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นแข็งแกร่งในระยะสั้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น และยังเป็นหุ้นที่เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีกังวลความไม่สงบในตะวันออกกลาง ขณะที่ผลการดำเนินงานและงบดุลของบริษัทยังแข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 7.7 หมื่นลบ. และมีหนี้สินต่อทุนสุทธิน้อยกว่า 0.3 เท่า ทั้งนี้แนะนำเข้าซื้อเก็งกำไรราคาไม่เกิน 126 บาท