นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อให้การเติบโตสูงขึ้น เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนแบ่งกลับไปที่ประชาชนได้มากขึ้น เช่น การเติบโตของจีดีพีที่เพิ่มขึ้น 1% จะทำให้เห็นภาพเศรษฐกิจสำหรับประชาชน ทั้งในระยะต่อไปและที่ผ่านมาชัดเจนมากขึ้น แม้หลายฝ่ายจะมองว่าการเติบโตอาจจะไม่มาก แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอารมณ์ทางเศรษฐกิจ ผ่านการจับจ่ายใช้สอยจะเห็นความแตกต่างอย่างมาก ดังนั้น โจทย์สำคัญของรัฐบาลคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปอยู่ในจุดที่ต้องการ ซึ่งยอมรับว่าเป็นโจทย์ที่ยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ก็ต้องเร่งดำเนินการ
โดยสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการ นั่นคือการปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะเรื่องการทบทวนสวัสดิการที่รัฐให้กับประชาชนทั้งหมด ตามแนวคิดเรื่องการให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ (Negative Income Tax: NIT) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย และหนักพอสมควร แต่รัฐบาลต้องพยายามปรับเพื่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดหรือขีดเส้นชัดเจนว่าจะต้องสรุปเมื่อไร เพราะคงระบุชัดเจนขนาดนั้นไม่ได้ เบื้องต้นหากจะทำคงทยอยทำเป็นระยะ (เฟส) จะปรับเปลี่ยนทีเดียวทั้งหมดคงไม่ได้ เนื่องจากระบบใหญ่เกินไป
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่าเรื่อง NIT เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าจะทำอาจจะมาเป็นเฟส เพราะระบบมันใหญ่เกินไป ในเบื้องต้นเราอาจไม่ได้ดึงสวัสดิการทุกประเภทเข้ามาอยู่ในคราวเดียว อาจเอาเข้ามาเฉพาะที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยๆ รวมเข้ามา เพราะสวัสดิการทั้งหมดมีกว่า 20 ประเภท ทั้งคนชรา คนพิการ เป็นต้น เอามาทีเดียวเป็นไปไม่ได้ และสุดท้ายหากระบบสมบูรณ์แล้ว นั่นหมายถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเรื่องระบบการยื่นภาษี ทุกคนจะต้องถูกบังคับเข้ามาอยู่ในระบบภาษี แม้ว่ารายได้จะไม่ถึงจุดที่ต้องเสียภาษีก็ตาม เพื่อให้รัฐได้เข้าไปดูได้ว่าใครมีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการอะไรหรือไม่ เหมือนกับต่างประเทศที่ทำเรื่อง Social Security Number ซึ่งมีลักษณะคล้ายบัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ส่วนรายละเอียดยังไม่ได้มีการสรุป ยังต้องหารือกันอีกมาก จึงอยากให้รอก่อน
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะเติบโตได้อย่างน้อย 3% แต่รัฐบาลไม่ได้วางโจทย์ไว้แค่ระดับดังกล่าว เพราะต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจก้าวหน้า ดังนั้น หากสามารถผลักดันไปให้สุดได้มากเท่าไรก็จะเร่งดำเนินการ เนื่องจากมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยแก้ปัญหาในหลายๆ จุดได้ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่อยู่ในระดับสูง อาทิ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน เป็นต้น ดังนั้น ในปีนี้สิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การเร่งกระตุ้นการลงทุน กระตุ้นการบริโภค ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก เนื่องจากต้องยอมรับว่าปัจจุบันภาษีหลายประเภทมีการปรับเปลี่ยน โดยเฉพาะภาษีศุลกากร ที่ทิศทางของโลกจัดเก็บได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลจากการทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังจะต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้การจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ทำได้มากขึ้น และยังเป็นไปตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับภาษีสรรพากรที่เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ท้าทาย เพราะถือเป็นรายได้หลักของรัฐบาล แต่การจัดเก็บที่ทำได้มากขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นภาระกับภาคเอกชนและประชาชนมากขึ้นเท่านั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมาหาจุดที่สมดุลที่สุด