รัฐบาลประเทศสิงคโปร์ ได้แก้ไขวิกฤตมลพิษในอากาศเมื่อปี 2013 จากปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศของสิงคโปร์อย่างหนัก ทำให้ต่อมาในปี 2014 รัฐบาลสิงคโปร์ผ่านกฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน หรือ Transboundary Haze Pollution Act ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันที กฎหมายนี้เป็นกลไกทางกฎหมายสำหรับควบคุมการดำเนินธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียของบริษัทที่มีที่ตั้งสำนักงานในสิงคโปร์ สาระสำคัญของกฎหมายนี้ คือ ควบคุมไม่ให้กลุ่มนายทุนเผาป่าเพื่อบุกเบิกพื้นที่การเกษตร โดยเป็นการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนที่เป็นต้นเหตุอย่างแท้จริง
กฎหมายฉบับนี้ส่งผลให้องค์กรใด หรือบุคคลใดก็ตามที่ทำการเผาป่า หรือเผาพื้นที่ทางเกษตรจนเกิดมลภาวะที่กระทบต่อคุณภาพอากาศของสิงคโปร์ จะต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินสูงสุดวันละ 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อวัน สำหรับเพดานค่าปรับสูงสุดอยู่ที่ 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 50 ล้านบาท นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังมีโทษจำคุกตามความรุนแรงของการกระทำผิดด้วย
รัฐบาลประเทศสิงคโปร์ไม่เพียงบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว แต่ยังใช้มาตรการคว่ำบาตรสินค้าที่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย เมื่อตุลาคม 2015 สภาสิ่งแวดล้อมแห่งสิงคโปร์ระงับการใช้ฉลากเขียว หรือฉลากสิ่งแวดล้อมของบริษัท Universal Sovereign Trading ซึ่งเป็นธุรกิจผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท Asia Pulp & Paper Group (APP) บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ผลิตเยื่อและกระดาษของอินโดนีเซีย หลังจากพบความชัดเจนว่าบริษัทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเผาป่าในประเทศอินโดนีเซีย
กระทรวงสาธารณสุข สิงคโปร์ ใช้เกณฑ์วัดคุณภาพอากาศกำหนดให้ค่ามลภาวะสูงตั้งแต่ 101 AQI ขึ้นไป และอยู่ในระดับสูงติดต่อเป็นเวลา 24 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งให้ถือว่าคุณภาพอากาศย่ำแย่ สำหรับค่าปรับนั้นจะคิดตามจำนวนวันที่ก่อให้เกิดมลพิษ เพื่อให้แหล่งสร้างมลพิษควบคุมและดับไฟให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับในจำนวนมาก ย้อนกลับไปในปี 2013 ประเทศสิงคโปร์เผชิญมีค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 417 ไมโครกรัม สูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ว่าระดับปลอดภัยอยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัม