ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา แถลงว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามในคำสั่งบริหารประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าขึ้น 25% กับประเทศเม็กซิโก และแคนาดา และเก็บภาษีสินค้านำเข้าขึ้น 10% กับประเทศจีน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาตรวจพบการกระทำที่ผิดกฎหมายในการลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทเวชภัณฑ์ที่มีชื่อว่าเฟนทานิลผ่านจากทั้ง 3 ประเทศเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
มาตรการเก็บขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่มีผลบังคับใช้กับ 3 ประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นแคนาดา จีน และเม็กซิโก ล้วนเป็น 3 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่มีมูลค่าการค้าขายกับประเทศสหรัฐอเมริกาในอันดับต้นๆ เนื่องจากมีมูลค่าการค้าของ 3 ชาติรวมกันคิดเป็นมากกว่า 41% ของมูลค่าการค้าในช่วงเดือนมกราคมถึง พฤศจิกายนหรือ 11 เดือนแรกในปี 2024 จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าในสหรัฐอเมริกามากถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น รถยนต์ น้ำมัน เวชภัณฑ์ สินค้าเกษตร เป็นต้น
ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในช่วงเวลาถัดมาว่า ทั้งสามประเทศดังกล่าวนั้น ไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดลงไปเพื่อที่จะชะลอการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับสินค้าอื่นๆ ในประเทศต่างๆ ตามมา ซึ่งคาดว่าจะมีผลในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจนานาชาติ ปีเตอร์สัน ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่านโยบายและมาตรการเก็บขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปมีราคาเพิ่มขึ้น และมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสหรัฐอเมริกาเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 88,400 บาท สอดรับกับ สภาการค้าปลีกแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ NRF เปิดเผยว่า การเก็บภาษีขึ้น 10% จากสินค้านำเข้า และ การขึ้นอัตราภาษีอีก 60% จากสินค้านำเข้าของประเทศจีน ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของคนอเมริกันพุ่งทะยานขึ้นถึง 19.4%