ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 44,711 จุด +342 จุด หรือ +0.77% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,115 จุด +63 จุด หรือ +1.04% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,945 จุด +295 จุด หรือ +1.50% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -0.54%, -0.24% และ -0.53% สิ้นสุดมกราคม ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +4.7%, +2.7% และ +1.6% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนคลายกังวลระดับหนึ่งกับความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีการค้าสหรัฐ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลงนามในคำสั่งบริหารใช้มาตรการภาษีเท่าเทียม หรือภาษีต่างตอบแทน ซึ่งมีอัตราภาษีระหว่าง 10 ถึง 20% บังคับใช้กับทุกประเทศทั่วโลกที่มีการเก็บภาษีส่งออกสินค้าสหรัฐ นายโฮวาร์ด ลุทนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า คณะทำงานจะศึกษาลงไปในรายละเอียดของแต่ละประเทศที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 1 เมษายนนี้ ซึ่งถือเป็นวันสุดท้าย ที่คณะทำงานชุดดังกล่าวจะต้องรายงานข้อสรุปทั้งหมดกลับมาให้ประธานาธิบดีสหรัฐ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25 ถึง 4.5% เท่าเดิม ส่งผลเป็นการตึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นครั้งแรกในรอบปี 2025 นี้ และเป็นครั้งแรกใน 4 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2024 หลังจากได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวลงถึงสามครั้งต่อเนื่องรวมลดลง 1.0% ในปี 2024 ผ่านมา
ด้านตัวชี้วัดโอกาสการตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดในมีนาคมอยู่ที่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 41%
ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
