เวิลด์แบงก์ คาดจีดีพีไทยปี 68 โตเร่งขึ้น 2.9% จากแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐ แต่เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้า

เวิลด์แบงก์

ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% เร่งตัวขึ้นจากปี 67 ที่ขยายตัวได้ 2.6% โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง ทั้งนี้การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้อัตราการขยายตัวจะชะลอลงบ้างก็ตาม

โดยภาคการท่องเที่ยว คาดว่าภายในกลางปีนี้จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน จาก 35.3 ล้านคนในปี 67 ส่วนการบริโภคภาคเอกชน จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการโอนเงิน 10,000 บาท (เฟส 1) ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้น คาดว่ามีส่วนช่วยให้ GDP เติบโตขึ้น 0.3% ในปี 67 อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าว มีต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP

ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 0.8% ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระดับ 1.0-3.0% ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากการเติบโตที่ชะลอตัวในตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน แม้ว่าตลาดอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก จะอยู่ในภาวะขาขึ้นก็ตาม

ทั้งนี้ธนาคารโลกเห็นว่าเพื่อเป็นการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการคลัง ท่ามกลางความต้องการการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือทางสังคมอย่างตรงเป้าหมาย เพิ่มการระดมรายได้จากภาษี และเร่งการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และทุนมนุษย์ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของภาคเอกชน

นอกจากนี้ท่าทีทางนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนอย่างตรงเป้าหมาย ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

ขณะเดียวกันการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นการเติบโตในระยะยาว หากไม่มีการปฏิรูปนโยบายอย่างเร่งด่วน คาดว่าอัตราการเติบโตตามศักยภาพของไทย จะลดลงจากค่าเฉลี่ย 3.2% ในปี 2554-2564 เหลือ 2.7% ในช่วงปี 2565-2573 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศรายได้สูง

เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่าประเทศไทยมีโอกาสในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางการคลังผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน การขยายฐานภาษีและการให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ส่งเสริมการเติบโตในด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนในระยะยาว

รายงานระบุว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถจะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต แต่SMEs และสตาร์ทอัพ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของธุรกิจในประเทศไทยและ เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญยังคงเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เทคโนโลยี และตลาดต่างประเทศ

นอกจากนี้การพัฒนาสตาร์ทอัพดิจิทัล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ยังเป็นอีกหนึ่งด้านที่ควรได้รับการปรับปรุง การศึกษาและการฝึกอบรมทักษะด้านดิจิทัลและการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ แรงงานไทยในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและขยายธุรกิจ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles