นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวในคืนผ่านมาที่สโมสรมาร์-อา-ลาโก้ ว่าอัตราภาษีนำเข้าสินค้ารถยนต์อาจจะปรับขึ้น 25% ซึ่งจะมีการแถลงในวันที่ 2 เมษายนนี้ ไม่เพียงเท่านั้นจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 25% หรือสูงกว่านั้นกับสินค้านำเข้าประเภทเวชภัณฑ์ และ เซมิคอนดักเตอร์ด้วย และอัตราภาษีนำเข้าทั้ง 2 อย่างนี้จะอยู่ในระดับสูงตลอดปีนี้ เมื่อบริษัทย้ายฐานเข้ามาผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งบริษัทและโรงงานจะไม่มีการเก็บอัตราภาษีแต่อย่างใด ดังนั้นสหรัฐอเมริกาอยากจะให้เวลาอีกเล็กน้อยสำหรับโอกาสดังกล่าว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่าผมอยากจะลงนามสั่งวันที่ 1 เมษายน แต่คิดว่าจะเป็นวันที่ 2 เมษายนนี้ สำหรับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าชุดต่อไปที่จะประกาศใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากคณะทำงานด้านภาษีสินค้านำเข้าได้ส่งสรุปรายงานมาให้เป็นที่เรียบร้อยหลังจาก เมื่อวานนี้ได้ลงนามในแผนการจัดเก็บภาษีเท่าเทียมหรือภาษีต่างตอบแทนระหว่าง 10 ถึง 20% กับทุกประเทศทั่วโลกที่เก็บภาษีส่งออกสินค้าจากสหรัฐอเมริกา
สำหรับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าชุดต่อไปที่จะประกาศใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากคณะทำงานด้านภาษีสินค้านำเข้าได้ส่งสรุปรายงานมาให้เป็นที่เรียบร้อยหลังจาก เมื่อวานนี้ได้ลงนามในแผนการจัดเก็บภาษีเท่าเทียมหรือภาษีต่างตอบแทนระหว่าง 10 ถึง 20% กับทุกประเทศทั่วโลกที่เก็บภาษีส่งออกสินค้าจากสหรัฐอเมริกา
โกลบอล ดาต้า เปิดเผยว่าแบรนด์รถยนต์ชั้นนำจากต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป ที่ส่งรถยนต์เข้าไปขายในตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับปัจจัยลบจากมาตรการเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ที่จะประกาศในวันที่ 2 เมษายนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถิตินำเข้ารถยนต์จากต่างชาติมาจำหน่ายเมื่อเทียบกับยอดขายในสหรัฐอเมริกา มีดังนี้ตามลำดับ 1.โฟล์คสวาเก้น(เยอรมนี) 80% 2.ฮุนได(เกาหลีใต้) 65% 3.เมอร์เซเดส เบนซ์(เยอรมนี) 63% 4.เรโนลต์-นิสสัน-มิตซูบิชิ (ฝรั่งเศสและญี่ปุ่น) 53% 5.บีเอ็มดับเบิลยู (เยอรมนี) 52% 6.โตโยต้า(ญี่ปุ่น) 51% 7.จีเอ็ม(สหรัฐ) 46% 8.สเตลแลนติส(ยุโรป-สหรัฐ) 45% 9.ฮอนด้า(ญี่ปุ่น) 35% และ 10.ฟอร์ด(สหรัฐ) 21% จะเห็นได้ว่ารถยนต์จากแบรนด์เยอรมนีหรือยุโรป และฮุนไดหรือเกาหลีใต้เข้าข่ายรับผลกระทบมากที่สุด