ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลการเปลี่ยนแปลงดัชนีหุ้น SET Index นับตั้งแต่ต้นปีนี้เรื่อยมาจนถึงกระทั่งวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025 พบว่าเมื่อเวลา 15.30 น. ดัชนีหุ้นดังกล่าวแม้จะยังคงเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,248.73 จุด +3.12 จุด หรือ +0.25% ก็ตาม แต่ส่วนต่างของดัชนีดังกล่าวพบว่าร่วงลงอย่างหนักถึง -11.04% ส่งผลให้ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งทั่วโลก เอเชีย และอาเซียน พบว่าดัชนีหุ้น SET Index เป็นดัชนีหุ้นที่ตกต่ำย่ำแย่มากที่สุด
สำหรับการเปรียบเทียบในตลาดหลักทรัพย์แถบเอเชีย และอาเซียนที่มีส่วนต่างดัชนีหุ้นติดลบนั้น ข้อมูลถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025 พบว่าดัชนีหุ้น SET Index ร่วงดำดิ่งมากถึง -11.04% กลายเป็นตลาดหุ้นติดลบมากที่สุดในเอเชียและอาเซียน ตามหลังตลาดหุ้นอินเดีย -5.8% ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย -4.4% ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ -3.0% ตลาดหุ้นมาเลเซีย -0.4% ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเสมอตัว
นอกจากนี้ดัชนีหุ้น SET Index ร่วงดำดิ่งมากถึง -11.04% กลายเป็นตลาดหุ้นติดลบมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบอเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลางด้วย เช่น ตลาดหุ้นโปแลนด์ +23.5% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดของโลก ตลาดหุ้นสวีเดน +17.6% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดของยุโรป ตลาดหุ้นแอฟริกาใต้ +10.3% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดของแอฟริกา ตลาดหุ้นคูเวต +9.7% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดของตะวันออกกลาง ตลาดหุ้นจีน +14.1% ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในเอเชีย ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ +11.4% ตลาดหุ้นสิงคโปร์ +7.6% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น +3.4% ตลาดหุ้นฮ่องกงและไต้หวัน +1.9%
ด้านกองทุนธนาคารแบงค์ ออฟ อเมริกาหรือบีโอเอ เปิดเผยผลสำรวจมุมมองผู้จัดการกองทุนบีโอเอ Bank of America’s Fund Manager Survey พบว่าผู้จัดการกองทุนต่างชาติตัดสินใจลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่สำคัญจัดตลาดหุ้นไทยอยู่ในอันดับต่ำสุดที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในเอเชีย ผลการสำรวจ ปรากฏว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในอันดับท้ายสุดของตาราง โดยผู้จัดการกองทุนลดน้ำหนัก หรือ underweight -22% ตามมาด้วยตลาดหุ้นอินเดีย -19% ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์และมาเลเซีย -5% ส่วนตลาดหุ้นอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ -4%
นอกจากนี้ผลการสำรวจเปิดเผยต้อไปว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับความสนใจจากผู้จัดการกองทุนต่างชาติเป็นอันดับ 1 โดยให้เพิ่มน้ำหนัก หรือ overweight +54% ตามมาด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน +14% ตลาดหุ้นจีน +8% และตลาดหุ้นสิงคโปร์ +8%
