นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และรักษาการผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยว่าในปี 2568 กนอ.คาดว่ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ 6,000ไร่ มาอยู่ที่ 8,000-10,000 ไร่ เนื่องจากมีการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นมากทำให้ผู้พัฒนาที่ดินเตรียมพื้นที่รองรับไม่ทัน ดังนั้น กนอ. ปรับกระบวนการโดยประสานงานกับผังเมือง และสผ. ในการดำเนินการทำควบคู่กับการทำ EIA ช่วยร่นระยะเวลาการพัฒนาพื้นที่เดิมจาก 3 ปี เหลือเพียง 2 ปี
ขณะนี้มีผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม ทั้งในส่วนที่ขอลงทุนพัฒนาพื้นที่ใหม่และส่วนที่ขอขยายพื้นที่จากโครงการเดิมเพื่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC แต่ไม่สามารถลงทุนพัฒนาพื้นที่ได้เพราะติดปัญหาสีผังเมืองจำนวนกว่า 40 โครงการ คิดเป็นพื้นที่แปลงละประมาณ 700-1,000 ไร่ รวมทั้งหมดหลายหมื่นไร่ คิดเป็นมูลค่าลงทุนหลายหมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผังเมืองสีเหลือง ยังไม่สามารถปรับเป็นสีม่วงได้
ดังนั้น กนอ. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ EEC) อยู่ระหว่างการหารือกับผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมทุกรายที่ยื่นขอลงทุนและขอขยาย โดยให้ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมแต่ละรายต้องนำแปลงพื้นที่ที่ต้องการมาชี้เป้าเพื่อหารือกับทางผังเมือง ว่ามีโอกาสที่จะสามารถตั้งนิคมอุตสาหกรรมได้หรือไม่ และต้องการความช่วยเหลืออย่างไร ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติจากจีน เกาหลี ไต้หวันที่ต้องการสร้างคลัสเตอร์เป็นของตัวเองที่สนใจร่วมทุนกับผู้พัฒนานิคมฯไทย
นอกจากนี้ ราคาที่ดินในพื้นที่ EEC ที่ประกาศเป็นสีม่วงซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมมีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จาก 2 ล้านบาท/ไร่ ขยับเป็น 10 ล้านบาท/ไร่ ซึ่งเป็นราคาใกล้เคียงกับราคาที่ดินที่พัฒนาแล้วในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งราคาที่ดินที่ดีดขึ้นแรงเช่นนี้เกิดจากกระแสการลงทุนที่ไหลเข้ามาประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนบางรายที่ใช้พื้นที่ไม่มากก็ยอมซื้อ แต่หากนักลงทุนที่ต้องการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ไม่สามารถตัดสินใจซื้อพื้นที่ดังกล่าวได้ และอาจเปลี่ยนใจไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหาโซลูชั่นใหม่เพื่อหาทางออก