นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยภาพรวมการส่งออกข้าวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 ก.พ.2568 ว่า มีปริมาณ 1.1 ล้านตัน ลดลง 32% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ส่งออกได้ 1.6 ล้านตัน โดยมีปัจจัยกดดันหลัก คือ การที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว สต๊อกข้าวโลกเพิ่มจาก จาก 522 ล้านตัน เป็น 532 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2% สวนทางกับความต้องการบริโภคที่ลดลงเหลือ 58.53 ล้านตัน ลดลง 2.1% ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ขณะที่ข้าวไทยราคาถือว่าแพงที่สุดในโลก และค่าเงินบาทยังผันผวน ทำให้ข้าวไทยแข่งขันได้ยาก คาดว่าไตรมาสแรกจะส่งอกได้ไม่เกิน 2 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปี 2567 ที่ส่งออกได้ประมาณ 3 ล้านตัน แต่ทั้งปี ยังคงคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกไว้ที่ 7.5 ล้านตัน
ด้าน ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดว่าปีนี้ผลผลิตข้าวของไทยจะออกมามาก เพราะชาวนามีการปลูกข้าวมากขึ้น น้ำในเขื่อนหลักมีเพียงพอ โดยเฉพาะการทำนาปรัง แต่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่ายา ค่าปุ๋ย ทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อน ส่วนราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำ รัฐบาลควรช่วยเรื่องการลดต้นทุนและช่วยเรื่องปัจจัยการผลิต ไม่ใช่ผลักดันราคาเพียงอย่างเดียว เพราะหากทำเช่นนั้น ข้าวไทยจะราคาสูงเกินไป ก็จะส่งออกไม่ได้ สุดท้ายก็กระทบราคาข้าว
ทั้งนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น โดยปัจจุบันผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กิโลกรัมต่อไร่ ต่ำที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่เฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ และสหรัฐฯ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ถือว่าต่ำกว่า และในการพัฒนาพันธุ์ข้าว จะต้องเน้นพันธุ์ข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ไม่ใช่อะไรก็ได้ และยังควรที่จะเข้ามาดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ ไม่แกว่งตัวจนเกินไป ไม่เช่นนั้น ผู้ส่งออกจะทำตลาดได้ยาก