ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่ากรณีทรัมป์ระบุจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป ทองแดง กับคู่ค้าต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตในสหรัฐฯ นอกเหนือไปจาก Reciprocal Tariff ที่จะทยอยประกาศออกมา
สำหรับไทย บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออก 7 ประเภทสินค้า นับว่าไม่น้อย หรือ เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1 ใน 5 ของการส่งออกไปตลาดโลก น้อยกว่าเวียดนาม แต่มากกว่ามาเลเซียและอินโดนีเซีย
ใน 7 ประเภทสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ส่งออกจากไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูงราว 34% ของการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดโลก
ตั้งแต่พิธีสาบานตน ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าอะไร กับคู่ค้าใด แล้วบ้าง ?
เฉพาะเจาะจงคู่ค้า : สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไปเพิ่ม 10% จากจีน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และเก็บเพิ่มอีก 10% ในวันที่ 4 มีนาคม ขณะเดียวกันก็จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทั่วไป 25% กับเม็กซิโก และแคนาดา (ยกเว้นกลุ่มพลังงานจากแคนาดา ขึ้น 10%) ในวันที่ 4 มีนาคม หลังเลื่อนมา 1 เดือน
ทุกคู่ค้า : สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มีนาคม และเตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% วันที่ 2 เมษายน พร้อมระบุถึง เซมิคอนดักเตอร์ ยา ไม้แปรรูป และทองแดง ซึ่งยังต้องรอการยืนยัน นอกจากนี้ ทางการสหรัฐฯ กำลังจัดทำผลการศึกษา Reciprocal Tariff หรือภาษีต่างตอบแทน ซึ่งจะทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
ทำไมสหรัฐฯ เลือกจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเจาะจงบางรายการ ?
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สหรัฐฯ เลือกจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเฉพาะเจาะจง 7 ประเภทสินค้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ยา ไม้แปรรูป ทองแดง ก่อนสินค้าอื่นๆ เป็นเพราะ 3 เหตุผลคือ
1. สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้ากลุ่มนี้ในมูลค่าสูงเป็นส่วนใหญ่
2. อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าคู่ค้า
3. สหรัฐฯ ต้องการสนับสนุนให้เกิดการผลิตในประเทศมากขึ้น โดยสินค้ากลุ่มนี้ มีซัพพลายเชนที่สามารถต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์เป้าหมาย ขณะที่ สหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง/เคยผลิตได้แต่เริ่มเสี่ยงจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
หมายเหตุ: ใช้พิกัด 2 หลัก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (85) รถยนต์และชิ้นส่วน (87) ผลิตภัณฑ์ยา (30) เหล็กและผลิตภัณฑ์ (72 73) ไม้แปรรูป (44) อะลูมิเนียม (76) ทองแดง (74) ที่มา: TRADEMAP (ข้อมูลปี 2567) รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
สินค้ากลุ่มนี้ของไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เท่าไร ?
21% เป็นสัดส่วนมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เทียบกับที่ส่งออกไปตลาดโลก เป็นรองเวียดนาม (25%) แต่มากกว่ามาเลเซีย (15%) และอินโดนีเซีย (9%) หมายความว่า สำหรับไทยแล้ว บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะตลาดส่งออก 7 ประเภทสินค้า เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1 ใน 5 ก็นับว่าไม่น้อย (รูปที่ 3)
ใน 7 ประเภทสินค้า เซมิคอนดักเตอร์ (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) ส่งออกจากไทยพึ่งพาสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูงราว 34% ของการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดโลก รองลงมาคือ เหล็กและผลิตภัณฑ์ ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วน 18% และอะลูมิเนียม ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วน 15%
หมายเหตุ: ใช้พิกัด 2 หลัก อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (85) รถยนต์และชิ้นส่วน (87) ผลิตภัณฑ์ยา (30) เหล็กและผลิตภัณฑ์ (72 73) ไม้แปรรูป (44) อะลูมิเนียม (76) ทองแดง (74) ที่มา: TRADEMAP (ข้อมูลปี 2567 ยกเว้น * ปี 2566) รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ผลที่ตามมา (หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้) คืออะไร ?
ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ผลักดันให้สหรัฐฯ เร่งนำเข้าก่อนอัตราใหม่มีผลบังคับใช้ (Front-loading) แต่การเร่งนำเข้าในรอบนี้ จะมีความไม่แน่นอนแปรผันตามการเจรจาต่อรอง และอาจมีกรอบเวลาที่สั้นกว่าครั้งก่อนๆ ที่ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับกระบวนการไต่สวนและการวินิจฉัย เช่น กรณีโซลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นมากเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่งก่อนคำตัดสินเรื่องการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-Circumvention) จะได้ข้อสรุป จากนั้นการส่งออกก็ชะลอตัวลง
ราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับขึ้นตามภาษี อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จึงอาจไม่ปรับลดลง และเป็นปัจจัยรั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่ ซัพพลายเชนที่ใช้สินค้าเหล่านี้เป็นวัตถุดิบ คงต้องเปรียบเทียบต้นทุนจากแหล่ง Sourcing ต่างๆ หรืออาจพิจารณาปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบอื่นแทน เช่น Coca-Cola ระบุ จะพิจารณาปรับบรรจุภัณฑ์จากกระป๋องอะลูมิเนียมมาเป็นขวดพลาสติกมากขึ้น เป็นต้น
ติดตามความชัดเจนของพิกัดสินค้าและอัตราภาษีของสหรัฐฯ รวมถึง Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ จะเก็บแต่ละคู่ค้า ตลอดจนท่าทีของประเทศต่างๆ ซึ่งสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่งนี้ ทำให้ยากจะประเมินขนาดผลกระทบได้อย่างแน่ชัด แต่แน่นอนว่า สงครามการค้าที่ขยายเป็นวงกว้าง จะเป็นผลลบต่อการค้าและการลงทุนของซัพพลายเชนทั่วโลก
ผลต่อไทย มองอย่างไร ?
ผลทางตรงต่อการส่งออกของไทย ในภาพรวมนับว่ามีพอสมควร เนื่องจากมูลค่าการส่งออก 7 ประเภทสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็น 40% ของการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ และคิดเป็น 7.4% ของมูลค่าการส่งออกทุกสินค้าของไทยไปตลาดโลกในปี 2567
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชน เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก ยิ่งเมื่อในระยะหลัง การลงทุนในไทยส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนจีน ทำให้ไปข้างหน้ามีความเสี่ยงที่สินค้าส่งออกจากไทยจะถูกกีดกันมากขึ้น ทั้งนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องอุปกรณ์ส่งรับเสียง/ภาพ/ข้อมูลอื่นๆ และอุปกรณ์สำหรับสื่อสารในระบบเครือข่ายทางสาย/ไร้สาย ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และกลอุปกรณ์กึ่งตัวนำ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องส่งสำหรับวิทยุ/กล้อง เป็นต้น
ส่วนอีก 6 ประเภทสินค้า คงได้รับผลกระทบจากความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง แต่คงจำกัดกว่า เนื่องจากตลาดส่งออกมีการกระจายตัว โดยพึ่งพาจีนและอาเซียนด้วย จึงช่วยบรรเทาผลกระทบทางตรงได้บางส่วน นอกจากนี้ บางประเภทสินค้าอาจได้รับอานิสงส์จากส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าใหม่เทียบกับเดิมที่น้อยกว่าคู่ค้าอื่น เช่น อะลูมิเนียม ที่เดิมไทยถูกเก็บภาษี 10% อยู่แล้ว หากทุกประเทศโดน 25% เท่ากัน อะลูมิเนียมจากไทยจะมีส่วนต่างน้อยกว่าคู่ค้าอื่น
สำหรับผลทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการที่คู่ค้าต่างๆ ต้องหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐฯ จะทำให้ผู้ผลิตไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในตลาดไทยและตลาดส่งออกอื่นๆ
ถัดจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนจากแผนภาษีของทรัมป์ที่รอข้อสรุป แต่เบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะกระทบการส่งออกของไทยราว 0.5% และเราได้คำนึงถึงผลกระทบนี้แล้วระดับหนึ่งในประมาณการปี 2568