นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากระทรวงการคลัง เตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างภาษีรถยนต์ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ภายในเดือนเม.ย. นี้ เพื่อให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของรถยนต์ PHEV ให้สอดคล้องกับหลักสากล และเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ PHEV
ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ PHEV จะถูกจัดอยู่ในพิกัดอัตราภาษีเดียวกับรถยนต์ Hybrid Electric Vehicle (HEV) โดยอัตราภาษีจะพิจารณาจากปริมาณการปล่อย CO2 ซึ่งไม่ตอบโจทย์ เนื่องจากการปล่อยก๊าซ CO2 ไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดที่ดีของการปล่อยมลพิษของ PHEV ได้
การศึกษาการรวม PHEV กับ HEV ทำให้ไม่ได้อัตราภาษีที่สนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทฃ โดยจะมีการทบทวนเกณฑ์สำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1. แยกการกำหนดอัตราภาษีระหว่าง รถยนต์ PHEV กับ HEV
2. กำหนดอัตราภาษี โดยอิงระยะการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง โดยใช้ตัวเลขระยะทาง 80 กิโลเมตรเป็นเกณฑ์ เพื่อมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีในการเพิ่มระยะวิ่งด้วยไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และให้พิจารณาเพิ่มระยะทางดังกล่าวในระยะต่อไป เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น
3. ตัดการพิจารณาความจุถังน้ำมันมาใช้ในการกำหนดอัตราภาษี เนื่องจากเป็นการลดศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการผลิต เพราะต้องผลิตถังน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นการลดศักยภาพของรถยนต์ สร้างข้อจำกัดโดยไม่จำเป็น สร้างภาระแก่ประชาชน และทำให้ PHEV ไม่ได้รับความนิยม
สำหรับการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับหลักสากล โดยจะช่วยส่งเสริม และต่อยอดให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ PHEV ที่มีมาตรฐาน และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสันดาปภายในไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต อีกทั้งยังช่วยตอบสนองต่อความต้องการใช้รถยนต์ PHEV ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าในเขตตัวเมือง และใช้พลังงานผสมในการเดินทางระหว่างเมือง
ทั้งนี้ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิต เร่งศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ จากปัจจุบันที่เก็บแบบอัตราเดียวที่ 8% เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะต้องคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยหลักการเบื้องต้น คือ หากเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ครั้งเดียวหรือใช้แล้วทิ้ง จะต้องเสียภาษีในระดับที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จได้ รอบระยะเวลาการชาร์จนาน มีน้ำหนักน้อย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุป และนำเสนอให้ ครม. พิจารณาได้ไม่เกินไตรมาส 2/68 ซึ่งตามหลักการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่แบบใหม่ จะเป็นแบบขั้นบันได โดยจะพิจารณาจากระยะเวลาในการชาร์จ น้ำหนักของแบตเตอรี่ เป็นต้น หากเข้าเงื่อนไขก็จะเสียภาษีน้อย เชื่อว่าน่าจะช่วยดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในไทย