ฝ่ายวิจัยธุรกิจธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยการวิเคราะห์ธุรกิจร้านทองในประเทศไทย พบว่า ส่วนภาพรวมการเติบโตของธุรกิจร้านทองในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัว จากแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอจากค่าครองชีพที่สูงและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการซื้อทองรูปพรรณลดลง เนื่องจากทองรูปพรรณถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเพื่อยที่มักได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำลังซื้อที่ถดถอย
โดยเฉพาะร้านทองขนาดเล็กซึ่งเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากร้านทองกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมที่เน้นการซื้อขายทองคำรูปพรรณเป็นหลัก ทำให้รายได้หลักของร้านทองขนาดเล็กมาจากค่ากำเหน็จในการขายทองรูปพรรณ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามปริมาณการซื้อทองรูปพรรณใหม่ที่คาดว่าจะซบเซา
นอกจากนี้แนวโน้มราคาทองคำที่ทรงตัวในระดับสูงยังส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เกิดแรงขายทองเพื่อทำกำไรมากกว่าการซื้อทองใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อรายได้ของร้านทองที่พึ่งพาค่ากำเหน็จเป็นหลัก หากราคาทองคำยังคงมีความผันผวนสูงผู้บริโภคอาจชะลอการซื้อทองรูปพรรณและหันไปลงทุนในทองคำแท่งหรือผลิตภัณฑ์อนุพันธ์แทน ทำให้ยอดขายของร้านทองแบบดั้งเดิมลดลงต่อเนื่อง
อีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อรายได้ของร้านทองคือ รายได้จากบริการฝากทองคำ (Gold Pawning) ที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของโรงรับจำนำซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการโรงรับจำนำของภาครัฐหรือเอกชนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าร้านทอง แทนการนำทองไปขายฝากกับร้านโดยตรง ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของร้านทองลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มร้านทองขนาดเล็กที่พึ่งพาธุรกิจขายฝากเป็นแหล่งรายได้เสริม
นอกจากนี้ มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎเกณฑ์ด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการรายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ อาจเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจให้กับร้านทอง โดยเฉพาะในด้านระบบการตรวจสอบธุรกรรมและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด
อย่างไรก็ตาม ร้านทองขนาดใหญ่ที่สามารถปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และให้บริการลงทุนทองคำแบบดิจิทัล จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ โดยเฉพาะธุรกิจออมทองออนไลน์, การซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) และ Gold ETFs ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาเก็งกำไรในช่วงราคาทองคำขาขึ้น หรือเพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ตลาดส่งออกทองคำอาจเป็นอีกช่องทางที่ช่วยลดแรงกดดันของตลาดในประเทศ โดยร้านทองที่สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดที่มีอุปสงค์สูง เช่น อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง อาจมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากการส่งออกทองคำแทนการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ราคาทองคำในปี 2568 คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ยังคงเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ โดยปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำให้ยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่ แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะลดลง 2-3 ครั้งตลอดปี 2568 หากเศรษฐกิจสหรัฐ มีสัญญาณชะลอตัว การลดอัดราดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า