เป็นเวลากว่า 3 เดือนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นเทอมที่ 2 หลังจากเว้นช่วงไป 1 สมัย พร้อมเปิดเกมสงครามการค้าผ่าน “นโยบายทรัมป์ 2.0” จัดหนักขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลกชุดใหญ่มาตั้งแต่ตอนหาเสียง โดยทรัมป์ประกาศชัดว่าต้องการที่จะ Make America Great Again มุ่งสร้างความเป็นธรรมให้สหรัฐอเมริกา และให้คนอเมริกามีงานทำ โดยไม่สนใจว่าเพื่อนบ้านจะได้รับผลกระทบแค่ไหน เพราะหากธุรกิจไหนไม่อยากโดนเรียกเก็บภาษีดุๆ ก็แค่ต้องย้ายเข้ามาลงทุนในอเมริกาก็เท่านั้น
นโยบายนี้ไม่ได้สะเทือนแค่เพียงฝากตลาดการค้า แต่ในตลาดทุน หุ้น อัตราแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะเพียงแค่ทรัมป์แง้มว่าเตรียมจะขึ้นภาษีเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% กับจีน และเก็บ 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก ก็เล่นเอาหุ้น 7 นางฟ้าตกสวรรค์กันเกือบยกแผง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ก็ออกลีลาตามสไตล์นักธุรกิจที่เจนสนาม ยืดเวลาการเริ่มเก็บภาษี เปิดโอกาสให้ 3 ชาติยักษ์เข้ามาเจรจาต่อรอง กระทั่งวันที่ 10 มีนาคม 2568 มีรายงานว่าคืนก่อนหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ (Fox News) ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐทำลงไปนั้นยิ่งใหญ่ รัฐบาลกำลังนำความมั่งคั่งกลับคืนให้ประชาชนชาวอเมริกัน อาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่คิดว่าสิ่งที่ทำลงไป จะต้องดีสำหรับสหรัฐอเมริกา สำหรับภาษี 25% ที่ชะลอออกไป 1 เดือนกับประเทศแคนาดา และเม็กซิโกนั้น อาจจะเก็บเพิ่มสูงขึ้นกว่า 25% เมื่อวันที่ 2 เมษายนมาถึง ในด้านภาษีต่างตอบแทนที่สหรัฐอเมริกาจะดำเนินการนั้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ดังนั้นสิ่งที่ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกได้รับอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงช่วงพักเวลาเล็กน้อยเท่านั้น โดยหลังจากที่ถ้อยคำดังกล่าวถูกนำเสนอออกไป กูรูหลายสำนักต่างจับตามองว่าความโลเลของทรัมป์นี้ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง แต่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกาก็ได้ออกมาโต้กลับอย่างมั่นใจว่าไม่มีทางที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยได้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นเพียง 1 วัน ชนวนสงครามการค้าก็ได้ถูกจุดขึ้นอย่างสมบูรณ์ โดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติคำสั่งให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้นอีก 25% กับทุกประเทศทั่วโลก โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลาในฝั่งตะวันออกของประเทศสหรัฐอเมริกาของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ หรือ 11.00 น. ตามเวลาของประเทศไทย ต่อมาไม่นานสหภาพยุโรป หรืออียู ก็ไม่น้อยหน่า เปิดเกมสู้กลับสงครามภาษีทรัมป์ทันทีด้วยว่ากลุ่มอียูเตรียมประกาศมาตรการเก็บขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะมีผลราวๆ วันที่ 13 เมษายนนี้ ตามมาติดๆ กับประเทศแคนาดา ที่ออกโรงแถลงโดยขุนคลังอย่างโดมินิค เลอบลัง ว่าได้มีการอนุมัติให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาใน 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ เหล็ก อะลูมิเนียม เหล็กหล่อ เครื่องคอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์กีฬา โดยให้มีผลในวันที่ 14 มีนาคม เป็นต้นไป ซึ่งการตอบโต้ของยุโรปและแคนาดาสร้างแรงกระแทกด้านมูลค่าอัตราภาษีศุลภากรกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 2 ล้านล้านบาท
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นสงครามการค้าที่ทั่วโลกต่างต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางพลิกเกมสู้กับความไม่แน่นอนของชายนักเขย่าโลก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’