ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 4 เมษายน 2025 ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 61.99 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -4.96 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -7.4% ส่งผลราคาปิดดิ่งลงรวม 2 วันติดกัน -9.72 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -14.04% ขณะที่มีราคาดิ่งต่ำสุดระหว่างวันแตะที่ระดับ 60.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาต่ำสุดระหว่างวันในรอบ 4 ปี ขณะที่เมื่อวันพฤหัสบดี 3 เมษายน ราคาปิดดิ่งลง -6.64% ทำสถิติเป็นราคาปิดน้ำมันดิบในแง่เปอร์เซ็นต์ที่ดำดิ่งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2022 หรือในรอบ 2 ปี 7 เดือน
ด้านราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 65.58 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -4.56 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -6.5% ทำสถิติราคาปิดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่สิงหาคม 2021 ส่งผลราคาปิดดิ่งลงรวม 2 วันติดกัน -9.37 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -12.92% ขณะที่มีราคาดิ่งต่ำสุดระหว่างวันแตะที่ระดับ 64.03 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาต่ำสุดระหว่างวันในรอบ 4 ปี ขณะที่เมื่อวันพฤหัสบดี 3 เมษายน ราคาปิดดิ่งลง -6.42% ทำสถิติเป็นราคาปิดน้ำมันดิบในแง่เปอร์เซ็นต์ที่ดำดิ่งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2022 หรือในรอบ 2 ปี 8 เดือน หลังจากเมื่อวันพุธผ่านมา เป็นราคาปิดน้ำมันดิบที่สูงสุดตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ หรือในรอบ 5 สัปดาห์
ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ตลาดโลกปิดดำดิ่ง -10.6% และ -10.9% ตามลำดับ ทำสถิติราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ดำดิ่งเลวร้ายสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง หรือตั้งแต่กลางปี 2023 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังเป็นราคาน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ปิดลดลงครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ติดต่อกัน
สาเหตุจากกระทรวงคลังจีนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ถึง 34% กับสินค้าทุกชนิดจากสหรัฐ และจำกัดการทำธุรกิจนำเข้าส่งออก 11 บริษัทของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ 10% ถึง 50% มีผลในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอัตราเก็บภาษีดังกล่าวสูงเกินคาดหมายมากกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า ได้ปรับขึ้นโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยในปีนี้เป็น 60% จากเดิมที่ 40% หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprosal Tariffs กับทั่วโลก
ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 ตลาดสำคัญในสิ้นปี 2025 นี้ ลงอีก 5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐจากเดิมที่ 67 มาเหลือ 62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ เบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ จากเดิมที่ 71 มาเหลือ 66 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ด้านธนาคารเอชเอสบีซี ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2025 ลงจากเดิมที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่วันละ 9 แสนบาร์เรล ลดลงถึงวันละ 1 แสนบาร์เรล สาเหตุจากสงครามภาษีที่รุนแรง และกลุ่มโอเปกพลัสเร่งผลิตน้ำมันดิบเร็วกว่าที่กำหนดไว้
กลุ่มโอเปกพลัสสร้างความประหลาดใจอย่างเกินความคาดหมายด้วยการมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบถึงวันละ 411,000 บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มที่ระดับวันละ 135,000 บาร์เรล โดยให้มีผลในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตเร็วขึ้นกว่าระยะเวลาเดิม ในปัจจุบันกลุ่มโอเปกพลัสรถกำลังการผลิตลงถึงวันละ 5.85 ล้านบาร์เรล ซึ่งคิดเป็น 5.7% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก โดยทำการลดการผลิตมาตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นถึง 6.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 2.1 ล้านบาร์เรล
ในขณะที่ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ 10% ถึง 50% มีผลในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอัตราเก็บภาษีดังกล่าวสูงเกินคาดหมายมากกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก
ทั้งนี้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายในประเทศไทยปรับราคาขายน้ำมันมีผลวันที่ 4 เมษายน นี้ โดยลดราคาทุกชนิดลง 50 สตางค์/ลิตร นับเป็นการปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกครั้งที่ 5 ต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นต้นมา ส่งผลเป็นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและกลุ่มแก๊สโซฮอลล์มีราคาขายถูกสุดใน 3 ปี 2 เดือนกว่า หรือตั้งแต่ 25 มกราคม 2565 และน้ำมันดีเซลมีราคาขายถูกสุดใน 10 เดือน หรือตั้งแต่ 17 พฤษภาคม 2567