ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 37,965 จุด -349 จุด หรือ -0.91% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,062 จุด -11 จุด หรือ -0.23% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 15,603 จุด +15 จุด หรือ +0.10% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 2 แห่ง ปิดดำดิ่งลงเหวถึง 3 วันติดกันรวม -4,259 จุด และ -607 จุด ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดดำดิ่ง 2 วันติดกัน -2,012 จุด
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -7.86%, -9.08% และ -10.02% ตามลำดับ ส่งผลดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วงติดกัน 6 สัปดาห์ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ร่วงติดกัน 4 สัปดาห์ และ ดัชนีหุ้นนาสแดคร่วงติดกัน 6 สัปดาห์
สาเหตุจากเกิดกระแสข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐจะชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ชั่วคราว แต่ทำเนียบขาวปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐ นายสก็อต เบสเซ็นท์ กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า การเจรจาภาษีการค้ากับทั้ง 70 ประเทศที่ติดต่อกลับมานั้น อาจกินเวลาไปถึงเดือนมิถุนายน ท่ามกลางประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า หากจีนไม่ถอนการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสูง 34% กับสหรัฐภายในวันที่ 8 เมษายน สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าสูงอีก 50% กับจีน ให้มีผลวันที่ 9 เมษายนนี้
เมื่อวันศุกร์ผ่านไป กระทรวงคลังจีนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ถึง 34% กับสินค้าทุกชนิดจากสหรัฐ และจำกัดการทำธุรกิจนำเข้าส่งออก 11 บริษัทของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ 10% ถึง 50% มีผลในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา โดยเก็บภาษีสูง 34% กับจีน ส่งผลประกาศรวม 2 รอบทำให้จีนโดนเก็บภาษีรวมสูงถึง 54%
อัตราภาษีดังกล่าวสูงเกินคาดหมายมากกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก นักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์จะใช้อัตราภาษีดังกล่าวเพียง 10% หรือเลวร้ายสุดที่ 20% เป็นเพดานสูงสุดในการจัดเก็บ แต่ผลกลับออกมาช็อคเกินคาดการณ์มาก เช่น จีนถูกเก็บภาษีรวมสุทธิถึง 54% จากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ถูกจัดเก็บภาษีสูงขึ้น 20% และภาษีต่างตอบแทนอีก 34% เป็นต้น