ครบ 30 ปีเนสท์เล่เดินหน้าลงทุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาทในเวียดนาม ใส่เงินกว่า 2,500 ล้านขยายผลิตเนสกาแฟที่โรงงานทันสมัยที่สุดในเวียดนาม สร้างงานกว่า 2,300 คน สร้างรายได้ครัวเรือนชาวสวนกาแฟพุ่งสูง 150% ส่วนในไทยยันเนสกาแฟไม่มีขาดตลาดรับศาลตัดสินเนสท์เล่เป็นเจ้าของสิทธิแบรนด์เนสกาแฟหนึ่งเดียวในไทย

ครบ 30 ปี เนสท์เล่ เดินหน้าลงทุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาทใน เวียดนาม ใส่เงินกว่า 2,500 ล้านขยายผลิตเนสกาแฟที่โรงงานทันสมัยที่สุดในเวียดนาม สร้างงานกว่า 2,300 คน สร้างรายได้ครัวเรือนชาวสวนกาแฟพุ่งสูง 150% ส่วนในไทยยันเนสกาแฟไม่มีขาดตลาดรับศาลตัดสินเนสท์เล่เป็นเจ้าของสิทธิแบรนด์เนสกาแฟหนึ่งเดียวในไทย

เนสท์เล่ (Nestle) บริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตอาหาร เครื่องดื่มกาแฟ และไอศครีมชื่อดังระดับโลกจากประเทศอิตาลี เปิดเผยว่าเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของเนสท์เล่ในการเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนามจึงได้ประกาศเพิ่มการลงทุนรวมเป็นมูลค่า 904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 30,376 ล้านบาท ในจำนวนลงทุนดังกล่าว เนสท์เล่จัดเงินลงทุน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2,550 ล้านบาทเพื่อขยายการผลิตเครื่องดื่มกาแฟภายใต้ยี่ห้อเนสกาแฟที่โรงงานเนสท์เล่ ไตรอัน ตั้งอยู่ในจังหวัดด่งนาย ทางใต้ของประเทศเวียดนาม

เนสท์เล่ เปิดเผยว่าเงินลงทุนจำนวนมากในครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ ในการเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยี และกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของโรงงานเนสท์เล่ แห่งนี้ในประเทศเวียดนาม สำหรับโรงงานเนสท์เล่ไตรอันเป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุดของเนสท์เล่ในภูมิภาคเอเชีย ทำหน้าที่ในการผลิตสินค้ากาแฟของเนสกาแฟไปยังประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 29 แห่งทั่วโลก นอกจากนี้ โรงงานเนสท์เล่ไตรอันเป็นโรงงานเดียวของเนสท์เล่ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์กาแฟทั้งหมดของบริษัทที่มีแบรนด์หลากหลายอย่าง เช่น เนสกาแฟ เนสกาแฟ ดอล์ซ กัสโต้ เนสเพรสโซ บลูบอทเทิ้ล และผลิตให้สตาร์บัคส์ ด้วย ที่สำคัญ โรงงานแห่งนี้ยังเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในการผลิตสินค้าเนสกาแฟประเภทไร้สารคาเฟอีนของบริษัทเนสท์เล่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

เนสท์เล่เริ่มเข้าไปลงทุนครั้งแรกในประเทศเวียดนามเมื่อปี 1995 หรือเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันมีการจ้างงานชาวเวียดนามมากกว่า 2,300 คน ด้วยการมีโรงงานผลิตทั้งหมดสี่แห่งในประเทศเวียดนาม โดยวางเครือข่ายการผลิตที่เน้นให้ความสำคัญด้านผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มกาแฟ เครื่องดื่มโกโก้ละลาย เครื่องปรุงหรือสารอาหารคือการทำอาหาร และน้ำดื่ม

การลงทุนของเนสท์เล่ในประเทศเวียดนามอยู่บนนโยบายที่เรียกว่าการ สร้างมูลค่าเพื่อการแบ่งปัน หรือ Creating Shared Value (CVS) ด้วยการริเริ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ใหม่ซึ่งให้ประโยชน์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในประเทศเวียดนาม เช่นโครงการไมโลแอคทีฟเวียดนาม ซึ่งช่วยให้เด็กและเยาวชนชาวเวียดนามมากกว่า 20.7 ล้านคนทั่วประเทศมีผลิตภัณฑ์ที่ดี และมีสารอาหารที่ดีในการบริโภค ทำให้เด็กและเยาวชนชาวเวียดนามมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและตื่นตัว

โครงการเนสกาแฟแพลน เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยสนับสนุนชาวเกษตรกรส่วนไร่กาแฟเป็นจำนวนมากมากกว่า 21,000 ครัวเรือนทั่วประเทศเวียดนาม ในการปลูกกาแฟด้วยความยั่งยืน ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนกาแฟสามารถลดการใช้น้ำในการปลูกลงได้มากถึง 60% และยังลดการใช้ปุ๋ยสารเคมี ได้ถึง 20% ในขณะที่สามารถเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนเกษตรกรชาวสวนกาแฟระหว่าง 30 ถึง 150%

โครงการริเริ่มใหม่ที่มีชื่อว่า เนสท์เล่ แอคคอมพานี วูแมน ของเนสท์เล่ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยสร้างเสริมศักยภาพของผู้หญิงชาวเวียดนาม โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจด้านสารอาหาร และสุขอนามัย เพื่อตัวเองและครอบครัวของตนเอง และยังเป็นโครงการที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่งในการเปลี่ยนผ่านยุคดิจิตอล และสร้างชีวิตความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนในอนาคต โครงการนี้ของเนสท์เล่ส่งผลให้เข้าถึงประชาชนผู้หญิงชาวเวียดนามมากกว่า 25,000 คนที่กระจายอยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม และยังช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวเวียดนาม ได้มากถึงเกือ 2 ล้านครัวเรือน

กรณีการฟ้องร้องระหว่างเนสท์เล่ เจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ ซึ่งมีข้อพิพาทกับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เนสท์เล่ ที่มีการถือหุ้นฝ่ายละ 50% ประกอบด้วยมีข้อตระกูล มหากิจศิริ และเนสท์เล่ บริษัทดังกล่าวก่อตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกิจเนสกาแฟ ตั้งแต่ปี 2533 และยุติสัญญาในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยความข้ดแย้งมาจากผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ในเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทดังกล่าว

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ได้มีคำสั่งยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย และสามารถใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งคำสั่งศาลนี้มีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568 จึงทำให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ตามปกติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยเนสท์เล่ได้แจ้งลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจให้ทราบว่าเนสท์เล่สามารถกลับมารับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตามปกติแล้ว

เนสกาแฟ แบรนด์กาแฟจากเนสท์เล่ที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งจากผู้บริโภคชาวไทย ได้มุ่งมั่นสร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี โดยล่าสุดเมื่อต้นปี พ.ศ.2568 เนสท์เล่ ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจากเกษตรกรไทยเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เนสท์เล่มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างปี พ.ศ.2561-2567 เนสท์เล่ได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทย และเนสท์เล่จะยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อสร้างประโยชน์แก่ลูกค้า ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจของเราต่อไป

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles