นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในไตรมาสแรกของปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.68) จำนวน 272 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 67 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 205 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 47,033 ล้านบาท
โดยการอนุญาตฯ ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้น 94 ราย (53%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,131 ล้านบาท (31%) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 57 ราย คิดเป็น 21% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 15,915 ล้านบาท
2. สหรัฐอเมริกา 35 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,490 ล้านบาท
3. จีน 34 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 6,083 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในไตรมาสแรกของปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.68) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 88 ราย คิดเป็น 32% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 32 ราย (57%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 24,234 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของเงินลงทุนทั้งหมด
โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 27 ราย ลงทุน 9,295 ล้านบาท จีน 22 ราย ลงทุน 3,685 ล้านบาท สิงคโปร์ 9 ราย ลงทุน 2,194 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ อีก 30 ราย ลงทุน 9,060 ล้านบาท