ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,093 จุด +486 จุด หรือ +1.23% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,484 จุด +108 จุด หรือ +2.03% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,166 จุด +457 จุด หรือ +2.74% ส่งผลดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดขึ้นวันที่ 3 รวมกัน +1,921 จุด +325 จุด และ +1,293 จุด ตามลำดับ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์กลับมาปิดเหนือ 40,000 จุดครั้งใหม่ในรอบ 10 วันผ่านมา หรือตั้งแต่ 10 เมษายน 2025
ก่อนหน้านึ้ถึงวันที่ 21 เมษายน 2025 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้งสามแห่งทำสถิติดำดิ่งเลวร้ายถึง -9% นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2025 หรือเป็นวันที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งยังคงร่วงลง -5.1%, -3.3% และ -2.5% ตั้งแต่วันที่ 2 มาถึงวันที่ 24 เมษายนผ่านไป ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และนาสแดคปิดลดลง 4 วันติดกันรวม -2,352 จุด และ -959 จุดตามลำดับ ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -2%, -1.5% และ -2.% ตามลำดับ
ที่สำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งที่ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์นั้นในช่วงที่ผ่านมากับดัชนีหุ้นของแต่ละแห่งที่ปิดตลาดในคืนผ่านมา จะพบว่าอยู่ในภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบ หรือ Correction ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ -10.68% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ร่วง -10.22% และดัชนีหุ้นนาสแดค -13.99%
สาเหตุจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นตัวนำตลาดอย่างคึกคักทั้งวันท่ามกลางความคาดหวังจากนักลงทุนว่าทำเนียบขาวสหรัฐอเมริกา จะสามารถเจรจามาตรการภาษีกับประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจได้ต่อไป ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกล่าวว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นยาวนาน ทำให้นักลงทุนประเมินว่าความขัดแย้งด้านสงครามภาษีและการค้าของทั้ง 2 ประเทศอาจจะผ่อนคลายและมีทางออก ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกแข็งค่าขึ้น 0.7% หลังจากอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 3 ปีมาเป็นเวลาหลายวัน
ผลสำรวจเกี่ยวกับมุมมองภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเลขดังกล่าวในช่วง 5 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีหรือนับตั้งแต่เมษายนปี 1995 เป็นต้นมา และในช่วง 1 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.3% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน