นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมกำหนดแผนการดำเนินงานในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ด้อยคุณภาพ และราคาต่ำ
โดยจากการหารือจะมีมาตรการสำหรับสินค้าที่มาจากประเทศต้นทาง ซึ่งได้รับการอุดหนุนมาจากประเทศต้นทาง ทำให้สินค้ามีราคาถูก และไม่ได้คุณภาพ ซึ่งในอดีตการเข้าไปตรวจสอบต้องใช้เวลาระยะเวลานาน โดยการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในช่วงระยะสั้นนั้น จะใช้วิธีการเข้าไปตรวจสอบทันทีเมื่อได้รับสินค้าเข้ามา หากสินค้าชนิดใดไม่สามารถอธิบายแหล่งที่มาต้นทุนได้ และไม่ได้มาตรฐานก็จะยกเลิกได้ทันที
นอกจากนี้ จะตรวจสอบสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ว่ามีการดำเนินการตามข้อบังคับหรือไม่ เพราะสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มักไม่มีฉลาก และไม่มีใบรับรองมาตรฐาน โดยการตรวจสอบนั้น ใช้วิธีการแจ้งไปยังเจ้าของแพลตฟอร์ม เพื่อขอให้ถอดสินค้าดังกล่าวออกจากการขายบนแพลตฟอร์มนั้น
ขณะที่การตรวจสอบเรื่อง “นอมินี” หรือการให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นแทนคนไทย เพื่อเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 นั้น จะต้องมีการเข้าไปตรวจสอบสัดส่วนการถือหุ้น ในสัดส่วน 49% และสัดส่วน 51% ว่ามีเข้าข่ายเป็นนอมินีหรือไม่ มีการใส่เม็ดเงินลงทุนจริงหรือไม่ โดยเรื่องนี้จะเป็นการทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงต้องมีการตรวจสอบนอมินีเรื่องการถือครองที่ดินด้วย
ส่วนแผนการแก้ไขปัญหาในระยะกลาง และระยะยาว จะต้องไปทบทวนกฎหมายในหลายฉบับ เพื่อทำให้เป็นสากลมากขึ้น ให้มีการควบคุมและกำกับให้ดีขึ้น และยอมรับว่าในปัจจุบัน ยังมีสินค้าหรือการบริการบางประเภทที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดำเนินการ ซึ่งมองว่าวันนี้ควรจะอนุญาตให้ดำเนินการได้แล้ว เพราะจะส่งผลดีกับประเทศไทย แต่ต้องมีการทบทวนเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้ทั่วโลกเห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้ปิดกั้น แต่ต้องทำให้เป็นสากลมากขึ้น
ขณะที่เรื่องสินค้าต่างประเทศมาสวมสิทธิ์สินค้าไทยเพื่อส่งออกนั้น พบว่ามีรายการสินค้าที่ถูกจับตามองจากประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ 49 ชนิด และยังมีการเพิ่มสินค้าอีก 16 ชนิดที่ต้องการมีการเฝ้าระวัง โดยจะมีการเข้าไปตรวจสอบถึงโรงงาน, กระบวนการผลิต และแหล่งที่มาของสินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องตรวจสอบ Certificate of Origin หรือ CO หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า ที่จะให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปร่วมตรวจสอบ โดยขณะนี้ไทยเริ่มดำเนินการแล้ว และทางสหรัฐฯ ก็ได้เห็นขั้นตอนวิธีการปฏิบัติ ซึ่งหากพึงพอใจก็จะมีการตรวจสอบไปเรื่อย ๆ และอาจจะเพิ่มรายการสินค้าในการตรวจสอบ ทั้งนี้ สหรัฐฯ พอใจในวิธีการสิ่งที่ได้ตรวจสอบเป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นผลดี เพราะการทำเช่นนี้เป็นหลักสากล และยุติธรรมกับผู้ค้าทุกฝ่าย
ทั้งนี้จากการทำงานร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา พบว่า สหรัฐฯ มีความพอใจในระดับหนึ่ง และทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ได้ทำงานร่วมกับศุลกากรของสหรัฐอเมริกา เพื่อจะดูแลเรื่องนี้ โดยจะมีการตรวจสอบไปถึงเรื่องวีซ่าของนักท่องเที่ยวที่มาพำนักอยู่ในประเทศไทยนานเกินกำหนดด้วยว่าใช้วีซ่าผิดวัตถุประสงค์หรือไม่
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการตรวจสอบสินค้าด้อยคุณภาพว่า ได้มีการดำเนินคดีไปแล้วกว่า 29,000 คดี ซึ่งก็จะมีการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบมากขึ้น ส่วนการดำเนินคดีทางกฎหมายกับบริษัทนอมินี ได้มีการจับกุมไปแล้ว 852 บริษัท ทุนจดทะเบียนกว่า 15,000 กว่าล้านบาท อีกทั้งในปัจจุบันพบว่ามีอีก 4 หมื่นกว่าบริษัทที่ต่างชาติถือหุ้นอยู่ ซึ่งก็ต้องไปตรวจสอบว่าเป็นการถือหุ้นผ่าน “นอมินี” หรือไม่ โดยจะได้ดำเนินการแก้ไขในเรื่องนี้