ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,669 จุด +141 จุด หรือ +0.35% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,569 จุด +8 จุด หรือ +0.15% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,446 จุด -14 จุด หรือ -0.09% ส่งผลดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดขึ้นวันที่ 7 ติดต่อกันรวม +2,496 จุด และ +408 จุด ตามลำดับ นอกจากนี้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้น 7 วันติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 9 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่กรกฎาคม 2024 และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดขึ้น 7 วันติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบ 5 เดือนผ่านมา หรือตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 สิ้นสุดเดือนเมษายน ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -0.8%, -3.2% และ -0.9% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนมั่นใจมากขึ้นกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของ ธนาคารกลางสหรัฐ หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไตรมาสที่ 1 หดตัวลง -0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีกว่าผ่านมา รวมถึงตัวเลขรายจ่ายส่วนบุคคลชาวอเมริกันในเดือนมีนาคมที่ออกมาไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐ กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาใกล้จะประกาศข้อตกลงการเจรจากับประเทศหนึ่งเป็นประเทศแรก แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ ประธานาธิบดีนายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า การเจรจาภาษีกับประเทศอินเดียกำลังเป็นไปด้วยดีมาก และสหรัฐอเมริกาอาจจะปิดดีลการเจรจากับอินเดียเร็วๆนี้
ผลสำรวจเกี่ยวกับมุมมองภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกา พบว่าตัวเลขดังกล่าวในช่วง 5 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีหรือนับตั้งแต่เมษายนปี 1995 เป็นต้นมา และในช่วง 1 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.3% ทำสถิติมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน หรือนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2023 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน