ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน พ.ค. 2568 อยู่ที่ -0.57% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังเพิ่มขึ้น 1.09% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เนื่องจากราคาพลังงานในประเทศปรับลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยค่าไฟฟ้าปรับลดลง 0.20 บาท อยู่ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับลดลง 1 บาทอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ราคาผักและผลไม้ปรับลดลงจากฐานที่สูง โดยดัชนีรายการสินค้าดังกล่าวลดลง -14.1% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา เนื่องจากช่วงเดียวกันของปี 2567 สภาพอากาศที่แห้งแล้งและร้อนจัดกระทบผลผลิตทางการเกษตรให้ลดลง
ในเดือน มิ.ย. 2568 คาดว่าเงินเฟ้อไทยมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นบวก จากผลของปัจจัยฐานจากราคาผักและผลไม้ที่ลดลง ขณะที่ทั้งไตรมาส 2/2568 คาดว่าเงินเฟ้อไทยเฉลี่ยจะอยู่ที่ -0.2% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา แต่ยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืด เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก และราคาสินค้าและบริการยังไม่ลดลงเป็นวงกว้าง (Broad-based)
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสู่ระดับ 0.3% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 0.5% แม้ในครึ่งหลังของปี 2568 อัตราเงินเฟ้อไทยอาจกลับมาอยู่ระดับเป็นบวกเล็กน้อย โดยมีรายละเอียดดังนี้
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศมีแนวโน้มปรับลดลง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2568 คาดว่าจะปรับลงมาอยู่ที่ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจาก 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลที่คาดไว้ก่อนหน้า ขณะที่ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะอยู่ต่ำกว่าระดับ 4.00 บาทต่อหน่วยไปตลอดปีนี้ จากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ
ราคาสินค้าเกษตรอาจปรับลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ใช้เพาะปลูกในปีนี้มีมากกว่าปีก่อนหน้าจึงหนุนผลผลิตให้เพิ่มขึ้น และบางส่วนมีการนำเข้าผักและผลไม้สดราคาถูกจากจีนและเวียดนาม โดยสินค้าที่ราคามีแนวโน้มปรับลดลง อาทิ พริกสด ทุเรียน มังคุด
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลง ท่ามกลางมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศน้อยกว่าที่คาด ส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง