พาณิชย์ เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. ขยับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลก 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 5,473 ราย ซึ่งครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 48.9 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 48.8 ในเดือนเมษายน 2568 โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก (1) การปรับแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ประจำปี 2568 ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจการค้าโลก โดยมีการลงทุนในโครงการใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว แทนโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเลต รอบ 3 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย และ (2) ความกังวลของภาคธุรกิจต่อมาตรการทางการค้าสหรัฐอเมริกาผ่อนคลายลง จากการชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การนำเข้าสินค้า (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 รวมทั้งการส่งออกของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการเร่งส่งมอบสินค้าเมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการค้าไทย อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อระดับหนี้ครัวเรือน และภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดของไทยและประเทศคู่แข่งขันที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 49.84 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.11 เศรษฐกิจโลก คิดเป็นร้อยละ 9.76 ราคาสินค้าเกษตร คิดเป็นร้อยละ 8.31 สังคม/ความมั่นคง คิดเป็นร้อยละ 6.91 การเมือง คิดเป็นร้อยละ 4.49 ภัยพิบัติ/โรคระบาด คิดเป็นร้อยละ 3.49 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 2.72 และอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 0.37 ตามลำดับ

ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่ามีเพียง 1 กลุ่มอาชีพ ที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 53.0 ขณะที่มี 6 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 49.2 นักศึกษา อยู่ที่ระดับ 49.2 เกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.9 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 47.8 อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 46.6 และไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 46.3 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยอยู่ที่ระดับ 35.7

สำหรับ ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาผลจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังคงส่งผลกระทบสำคัญต่อระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยกดดันภายในประเทศ อาทิ กำลังซื้อที่ลดลง ภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามฤดูกาล และผลของสภาพภูมิอากาศในช่วงฤดูฝน อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลและการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน อาทิ การปรับแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งจะสามารถช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาเป็นรากฐานในการพัฒนาระยะยาวต่อไป รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ การอำนวยความสะดวกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการประกาศแผนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสำหรับการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ภาครัฐยังคงติดตามสถานการณ์การใช้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจา อย่างรอบด้านเพื่อให้การเจรจาบรรลุผลสำเร็จโดยเร็วและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้าดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลของประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ โครงการเปิดเทอมเติมพลัง เพื่อช่วยในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน การติดตามสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรอย่างใกล้ชิดและดำเนินมาตรการเชิงรุกในการกระจายผลผลิตผ่านการจับคู่ธุรกิจใหม่และการหาตลาดเพิ่มเติมทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมทั้งมีการศึกษาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภาษีสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการและขยายโอกาสทางการค้าจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเขตการค้าสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ไทย – สหภาพยุโรป เพื่อขยายตลาดและลดความกดดันจากสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือในตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ อาทิ FTA ไทย – กลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles