ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเผยเวียดนามได้เปรียบกว่าทุกชาติยักษ์ใหญ่ในอาเซียน ยืนหน้าสุดของกลุ่มอาเซียน ปิดดีลเจรจาภาษีสหรัฐโชว์จุดยืนไม่ตอบโต้ แต่ต้องการค้าขาย

ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนเผย เวียดนาม ได้เปรียบกว่าทุกชาติยักษ์ใหญ่ในอาเซียน ยืนหน้าสุดของกลุ่มอาเซียน ปิดดีลเจรจาภาษีสหรัฐโชว์จุดยืนไม่ตอบโต้ แต่ต้องการค้าขาย

นายเท็ด โอเซียส ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน หรือ ยูเอส-เอบีซี กล่าวว่า การที่รัฐบาลเวียดนามสามารถตกลงในข้อตกลงภาษีและการค้ากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ ถึงแม้ว่ารายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าวจะยังต้องรอความชัดเจนอีกระดับหนึ่งนั้น ย่อมส่งผลให้ประเทศเวียดนามมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน

วิธีการที่รัฐบาลเวียดนามแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศเวียดนามขึ้นมาอยู่แถวหน้าสุดเมื่อเทียบกับหลายประเทศชั้นนำในอาเซียนไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย แน่นอนว่าไม่มีประเทศไหนก็ตามที่ต้องการจะมาเป็นรายสุดท้าย และไม่มีประเทศไหนก็ตามที่จะถูกทำให้รอคอยเป็นเวลานานในการได้รับการเจรจา โดยเฉพาะถ้าต้องเป็นประเทศในลำดับที่ 100

รัฐบาลเวียดนามมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดยืนในการเจรจาภาษีกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาตลอดนับตั้งแต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนเป็นต้นมา นั่นหมายถึง ทุกขั้นตอนของการเจรจาแสดงถึงรัฐบาลเวียดนามต้องการที่จะทำการค้ากับประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างจริงใจ โดยเฉพาะจุดยืนที่ชัดเจนคือต้องการจะเจรจาไม่ต้องการที่จะตอบโต้ภาษีกับสหรัฐสหรัฐอเมริกา

รัฐบาลเวียดนามไม่เพียงแสดงออกถึงความตั้งใจ ความต่อเนื่อง และความพยายามในการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่รัฐบาลเวียดนามได้ลงนามสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติแอลเอ็นจี เครื่องบินของบริษัทโบอิ้ง นอกจากนี้ ยังลงนามซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 99,000 ล้านบาท การลงนามสั่งซื้อสินค้าต่างๆทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านไป

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความบนสื่อโซเชียลว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ประกาศว่า ผมได้ทําข้อตกลงการค้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามหลังจากพูดคุยกับนายโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง สิ่งนี้กลายเป็นความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่มากระหว่างสองประเทศ ข้อกำาตกลงที่กำหนดไว้ คือเวียดนามเสียภาษีสินค้านำเข้า 20% ให้กับสหรัฐอเมริกากับทุกประเภทสินค้า และสินค้าทั้งหมดที่ส่งเข้ามาในสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน เวียดนาม เสียภาษีศุลกากรที่ 40% สําหรับการขนส่งสินค้า

ในทางกลับกัน เวียดนามจะปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เคยทํามาก่อน โดยให้สหรัฐอเมริกาสามารถเข้าถึงตลาดการค้าของเวียดนามได้ทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเวียดนามเปิดตลาดให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายความว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถขายสินค้าของสหรัฐอเมริกาไปยังเวียดนามได้ในภาษีเป็นศูนย์ หรือ ZERO Tariff

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles