นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าหลังจากที่อัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยออกมาที่ 19% มีโอกาสที่จะปรับคาดการณ์ GDP หรือไม่นั้น หลายสำนักได้มีการปรับขึ้นแล้ว ทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการปรับ GDP ขึ้นจาก 2.1% เป็น 2.2% ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับขึ้นจาก 1.8% เป็น 2.0%
ในส่วนของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กำลังจะมีการประกาศปรับ GDP ในช่วงกลางเดือนนี้ มองว่าก็มีแนวโน้มสูงที่จะมีการปรับประมาณการณ์ GDP ขึ้น เพราะประเด็นที่กังวลคือเรื่องภาษี ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือกลับมาสู่ระนาบเดิม ซึ่งเวลาเราดูการค้าขาย จะดูที่อัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูที่คู่แข่งด้วยว่าคู่แข่งเราโดนข้อจำกัดอะไร ซึ่งสิ่งที่ออกมาเป็นผลในแง่ดี ที่ทำให้ไทยมีความได้เปรียบสูงกว่า
ขณะเดียวกันสภาพัฒน์ จะมีการประกาศตัวเลขจริงของไตรมาส 2/68 ด้วย ซึ่งจากการที่ดูองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วตัวเลขน่าจะออกมาดี เพราะฉะนั้นครึ่งปีแรกของปีนี้ตัวเลขออกมาดีเช่นกัน
ส่วนผลกระทบจากเรื่องการค้าชายแดน มีผลต่อ GDP แต่ยังอยู่ในวงจำกัด เราสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้รวดเร็ว เพราะฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นเรื่องของเศรษฐกิจยังคงอยู่ในวงจำกัด
สำหรับผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% ถือเป็นผลที่น่าพึงพอใจ และเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และดีกว่าประเทศเวียดนามเล็กน้อย ดังนั้น ผลกระทบในด้านลบต่อความได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านของคู่ค้าในเชิงของอัตราภาษี ทุกคนเสมอกันกลับมาจุดเดิม ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่มีอีกหนึ่งความได้เปรียบที่เกิดขึ้น คือเรื่องของ Transshipment ซึ่ง เป็นกฎใหม่ที่มีขึ้นมา โดยประเทศไหนที่มี Transshipment สูง หรือมีสินค้าที่ผลิตในประเทศน้อย ก็จะโดนภาษีแพง
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีการผลิตในประเทศสูง ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม เวียดนามโดนภาษีตรงนี้สูงกว่าไทยมากเพราะมีการผลิตในประเทศน้อยกว่าเรา ดังนั้น ถ้าพูดถึงความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า คิดว่าไทยได้เปรียบขึ้น ซึ่งความได้เปรียบนี้มีนัยสำคัญ