นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังไทยและสหรัฐฯ ได้มีข้อตกลงเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่ต้องเร่งพิจารณาต่อ คือ เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านทาง (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลค่อนข้างมาก โดยในส่วนของไทย หลังจากนี้ต่อไป มองว่าจะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มวดมากขึ้น ซึ่งได้มอบหมายให้กรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าที่ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดในไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสินค้าขาเข้าเพื่อจะมาทำการผลิตในประเทศไทย โดยกลไกของกรมศุลกากร ที่เกี่ยวกับเรื่องมาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non tariff barriers) โดยเฉพาะเรื่อง transshipment จะต้องมีการปรับวิธีการ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นโจทย์เดิมของไทยอยู่แล้ว ที่อยากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และสอดคล้องกับแนวทางเรื่องความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business)
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า ข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯครั้งนี้ มีผลต่อตัวรายได้ของกรมศุลกากร โดยยังไม่ได้ประเมินว่ารายได้จะหายไปเท่าไร แต่ไม่อยากให้มองหรือให้ความสำคัญแค่เรื่องรายได้ที่จะปรับลดลงเพียงอย่างเดียว โดยอยากชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวนั้นช่วยทำให้การค้าขายกับสหรัฐฯ มีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยทำให้สามารถจัดเก็บภาษีอื่น ๆ ได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นในมิติต่าง ๆ ด้วย
สำหรับกระบวนการหลังจากนี้ จะต้องส่งเรื่องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบก่อน ซึ่งอาจจะไม่ทันในวันที่ 5 ส.ค.นี้ และหลังจากนั้นจะต้องมีการรายงานต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาระหว่างประเทศที่จะต้องให้สภาฯ ผ่านความเห็นชอบด้วย
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้กังวล แม้จะมีการจับตาว่าขณะนี้มีเสียงปริ่มน้ำ แต่การรายงานสภาฯ นั้นถือเป็นการดำเนินงานตามปกติ และมองว่าเป็นเรื่องที่สภาฯ ต้องได้รับทราบ และได้รับความเห็นชอบด้วยก็ยิ่งดี