กัมพูชาควงเวียดนามรับกระทบหนักสุดทั้งส่วนแบ่งตลาดและรายได้ส่งออกไปสหรัฐ ทุกชาติเจอ 3 เด้ง สู้ศึกสินค้าจีนสุดถูก สินค้าสหรัฐถูกกว่าเป็น 0% แข่งแย่งส่งออกกันเอง

กัมพูชาควงเวียดนามรับกระทบหนักสุดทั้งส่วนแบ่งตลาดและรายได้ ส่งออก ไปสหรัฐ ทุกชาติเจอ 3 เด้ง สู้ศึกสินค้าจีนสุดถูก สินค้าสหรัฐถูกกว่าเป็น 0% แข่งแย่งส่งออกกันเอง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่ามาตรการภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs หลัง 7 ส.ค. 2025 ซึ่งประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาสหรัฐฯ สูงยังคงได้รับผลกระทบมาก

ยิ่งสหรัฐฯ มีความสำคัญ ยิ่งฉุดเศรษฐกิจในภาพรวมจากผลของภาษีที่ทำให้การส่งออกชะลอตัวในระยะต่อไป ความสำคัญของสหรัฐฯ ต่อการส่งออก และต่อจีดีพีของประเทศในอาเซียน ประกอบด้วย 2 กลุ่มประเทศ คือกลุ่มประเทศได้รับผลกระทบมากมี 2 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา และเวียดนาม และกลุ่มประเทศได้รับผลกระทบมี 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ ขณะที่อินโดนีเซีย และฟิลิปินส์ เป็น 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในแง่ตลาดส่งออก และในแง่รายได้ส่งออกไปสหรัฐต่อเศรษฐกิจ ส่วนประเทศที่แทบไม่มีผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ได้แก่ บรูไร สปป.ลาว และเมียนมา

พบว่า เวียดนามและกัมพูชา เป็น 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยกัมพูชาได้รับผลกระทบมากที่สุดในด้านความสำคัญของสหรัฐฯ ในแง่ตลาดส่งออก (Exports to US/Total exports (%)) ขณะที่เวียดนามได้รับผลกระทบมากที่สุดในด้านความสำคัญของรายได้ส่งออกไปสหรัฐต่อเศรษฐกิจ (Exports to US/GDP (%))

เศรษฐกิจอาเซียนยังเสี่ยงชะลอตัว แม้อัตราภาษีที่ปรับใหม่จะถูกเก็บใกล้เคียงกันทำให้การแข่งขันด้านราคาในการทำตลาดสหรัฐฯ ลดลง แต่การส่งออกยังมีแนวโน้มชะลอและส่งผลต่อเศรษฐกิจเวียดนามและกัมพูชาค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 20% ต่อ GDP

ในบรรดาอาเซียนมีเพียงไทยและอินโดนีเซียที่เปิดเผยรายละเอียดดีลการค้า 1) นำเข้าสินค้าสินค้าสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0% 2) เพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร พลังงานและเครื่องบินของสหรัฐฯ 3) ลดอุปสรรคทางการค้าให้สหรัฐฯ 4) สหรัฐฯ ปรับ Reciprocal tariffs เป็น 19% และเก็บภาษีสินค้า Transshipment ในอัตรา 40%

ทั้งนี้ การแข่งขันในอาเซียนสูงขึ้นจากการเข้ามาของสหรัฐฯ จากเดิมที่ต้องแข่งกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาตั้งแต่สงครามการค้ารอบแรก และสินค้าไทยที่ส่งไปอาเซียนต้องแข่งขันทั้งกับสินค้าสหรัฐฯ และจีนสูงขึ้นอีก

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles