สภาพัฒน์ จับตาเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 มี 4 ปัจจัยยังกังวล ยันความขัดแย้งชายแดนไม่กระทบ จะเร่งจีดีพีโต 3% ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต 2-3 ปี

สภาพัฒน์ จับตาเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 68 มี 4 ปัจจัยยังกังวล ยันความขัดแย้งชายแดนไม่กระทบ จะเร่งจีดีพีโต 3% ต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต 2-3 ปี

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของไทย ขยายตัว 2.8% รวมถึงครึ่งปีแรกของปี 2568 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศขยายตัว 3.0% นั้น ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีประเด็นที่ทาง สศช.ยังคงต้องจับตาอย่างต่อเนื่อง โดยประเด็นหลักที่ สศช.มีความกังวลคือ 1.ผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา 2.ภาระหนี้ภาคเอกชนยังคงอยู่ในระดับสูง และมาตรฐานสินเชื่อที่ยังมีความเข้มงวดต่อเนื่อง 3.การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว และ 4.ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลกที่อาจเกิดจากการทวีความรุนแรงของมาตรการกีดกันทางการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ดังนั้น สศช.ขอเสนอแนะเพิ่มเติมที่ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญมากขึ้น มีดังต่อไปนี้

1.การลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องขับเคลื่อนให้ขยายตัว ขณะเดียวกันต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การส่งออกยังคงขยายตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ ช่วงรอการพิจารณารายละเอียดภาษีสหรัฐ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะถัดไป โดยเฉพาะการเตรียมการเรื่องการควบคุม การถ่ายลำ (transshipment) อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า

2.การกำหนดเกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ หรือ RVC ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของกระทรวงพาณิชย์ และสภาอุตสาหกรรมเพื่อให้มีความเหมาะสมกับสินค้าไทย และยังคงส่งออกผู้สินค้าไปยังสหรัฐฯได้อย่างต่อเนื่อง

และ 3.การผลักดันการท่องเที่ยว ที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยกัมพูชานั้น ทาง สศช.มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ภาคการผลิต แต่จะกระทบกับการค้าชายแดน ผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ แต่ สศช.มองว่ากระทรวงแรงงานจะสามารถจัดหาแรงงานจากชาติอื่นเข้ามาทดแทนได้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากจะทำให้จีดีพีไทยโตระดับ 3% นั้น จะต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี ทั้งการผลิตแรงงานที่มีศักยภาพ และเร่งผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตเพื่อลดต้นทุนผลิตสินค้า โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องเน้นผลิต คุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยมาตรการการขึ้นภาษีของสหรัฐที่เกิดขึ้น สศช.มองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งปรับโครงสร้างในประเทศ โดยจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

ขณะที่ กรณีที่กระทรวงการคลัง ประกาศแนวคิดภาษีเชิงลบ (Negative Income Tax) ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ปี 2570 นั้น ในส่วนการดำเนินงานของทาง สศช. ขณะนี้ สศช.กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูล เส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ซึ่งหลังจาก สศช.ปรับปรุงข้อมูลเสร็จทางกระทรวงการคลังสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการหารือร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles