นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปี 2568 มองว่าจะไม่ได้ทรุดมากกว่านี้ เพราะมีข้อมูลในการขอรับสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนค่อนข้างมาก ซึ่งจะเร่งให้มีการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น สร้างงานได้มากขึ้น ส่วนปัจจัยที่มีผลสร้างความกังวลอย่างภาษีสหรัฐของไทยถือว่าพอสู้ประเทศคู่แข่งได้ น่าจะดึงการลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น
โดยมองว่ารัฐบาลยังจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศเชิงบวกในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าปัจจัยที่มีผลกระทบมีทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการจะดึงลงทุนจากประเทศเข้ามา อัตราภาษีสหรัฐที่ได้ 19% ทีมไทยแลนด์ถือว่าทำได้ดีแล้ว เป็นระดับที่แข่งขันกับคู่แข่งและดึงการลงทุนได้ ช่วยเรื่องการจ้างงาน สนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต ยอดขายสินค้าทั้งรถยนต์และอื่นๆ น่าจะดีไปด้วยได้
ส่วนเรื่องการอนุมัติงบปี 2569 ก็น่าจะผ่านสภาได้แล้ว ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคของการเบิกจ่าย แต่อยากให้เร่งให้เร็วขึ้น รวมทั้งเรื่องการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ให้เป็นไปตามแผน ซึ่งจะส่งผลในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพื่อเป็นส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ และการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งต้องมีการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ เทคโนโลยีทันสมัยด้วย ทั้งหมดจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่อเนื่อง
สำหรับการปรับราคารถยนต์อีวีที่ต่ำกว่า 6 แสนบาทต่อคัน ส่งผลกระทบกับตลาดในภาพรวม โดยเฉพาะยอดขายของรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และส่วนใหญ่รถยนต์อีวีที่ขายอยู่มาจากการนำเข้า กระทบกับการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย เพราะยังไม่มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในรถยนต์อีวี รวมถึงการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อรถกระบะของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นรถทำมาหากินของประชาชนและเอสเอ็มอี ทำให้ยอดผลิตรถกระบะในไทยถูกผลิตลดลง จากที่ลดลงต่อเนื่อง 30 เดือน ก็จะน้อยลงอีก กระทบกับการจ้างงานที่ลดลง แต่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ระดับ 75% ทำให้ยอดขายรถยนต์ทั้งปีที่ตั้งไว้น่าจะทำได้ประมาณ 6 แสนคัน ส่วนยอดการผลิตรถยนต์ได้ลดเป้าหมายไปแล้ว ทั้งปี 2568 คงไว้ที่ 145,000 คัน