นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของ คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568)พบว่า มีจำนวน 583 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 150 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 433 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 159,460 ล้านบาท
โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 123 ราย (27%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (460 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 68,473 ล้านบาท (75%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (90,987 ล้านบาท)
อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 112 ราย คิดเป็น 19% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 69,817 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการเป็นศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น พลาสติกคอมพาวด์และมาสเตอร์แบตช์ สิ่งพิมพ์ลามิเนทเพื่อบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร และชิ้นส่วนยานพาหนะ
2. สหรัฐอเมริกา 85 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,238 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ ธุรกิจโฆษณา และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB
3. สิงคโปร์ 74 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 22,872 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ธุรกิจบริการสนับสนุนและบริหารจัดการการวิจัยทางคลินิก ธุรกิจบริการให้ใช้แอปพลิเคชันสำหรับเชื่อมต่อกับระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป บรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ แม่พิมพ์/ชิ้นส่วนพลาสติก และ Printed Circuit Board
4. จีน 73 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 20,029 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจ การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการผลิต PCBA, ฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติก ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ Multilayer Printed Circuit Board
5. ฮ่องกง 64 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 11,467 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรม ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนพลาสติก ชิ้นส่วนโลหะ
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 176 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 39 ราย (28%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73,186 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 44 ราย ลงทุน 26,937 ล้านบาท จีน 43 ราย ลงทุน 14,442 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,264 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 71 ราย ลงทุน 26,543 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการเขต Data Center และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปจากแผ่นวงจรพิมพ์ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล เป็นต้น