นักลงทุนตลาดทุนไทยมั่นใจร้อนแรง อานิสงค์เงินต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนในไทย ชี้ธุรกิจอสังหาฯ ไม่น่าสนใจมากที่สุด กลุ่มแบงก์น่าสนใจมากสุด มองปัจจัยการเมืองไทยฉุดเศรษฐกิจไทย

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ที่ระดับ 120.22 นักลงทุนมองว่าการไหลเข้าของเงินทุน เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กนง. ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

กลุ่มนักลงทุนบุคคลอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ และนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)

หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ

ผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2568 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 11.0% อยู่ที่ระดับ 96.55 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 67.1% อยู่ที่ระดับ 130.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 6.1% อยู่ที่ระดับ 130.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่ม 100.00% อยู่ที่ระดับ 133.33

ตลอดเดือนสิงหาคม 2568 ดัชนี SET เคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันทั้งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย—กัมพูชาที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาว แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จากกรณีคลิปเสียงหลุดกับฮุน เซนของกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ปิดที่ 1,236.61 ปรับตัวลดลง 0.46% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิรวม 84,384 ล้านบาท

ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินและการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED และทิศทางการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน หลังตกลงขยายเวลาชะลอภาษีไปอีก 90 วัน ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองไทยในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย การเบิกจ่ายงบประมาณ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผลการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อ”คดีชั้น 14“ ของนายทักษิณ ชินวัตร และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย—กัมพูชา”

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles