คีรีโพสต์ (Kiri Post) ซึ่งเป็นสำนักข่าวและสื่อด้านธุรกิจ และเทคโนโลยีชื่อดังของประเทศกัมพูชา รายงานข่าวว่า กลุ่มสหภาพ 27 กลุ่ม กลุ่มสหภาพการค้า และองค์กรสังคมพลเรือนหลายแห่ง แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลโดยการนำของนายฮุน มาเนต ปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานอีก 24 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 768 บาท เพื่อให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มจาก 208 เป็น 232 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6,656 เป็น 7,425 บาท โดยให้มีผลภายในปี 2026
เนื่องจากต้องการให้ค่าจ้างดังกล่าวสะท้อนค่าใช้จ่ายในการครองชีพแท้จริงในประเทศกัมพูชา ในขณะที่ค่าแรงในปัจจุบันนั้นต่ำกว่าคุณค่าและศักดิ์ศรีของชีวิตผู้ใช้แรงงานชาวกัมพูชา ผู้ใช้แรงงานรายหนึ่งทำงานมา 6 ปีในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในกัมพูชา กล่าวว่า พวกเรายากจน และไม่มีเงินที่จะส่งกลับบ้านให้พ่อแม่ที่ชรา ชีวิตของคนงาน เช่น กินข้าวในถุงพลาสติกซึ่งไม่พอกับการร่างกาย
ผู้ใช้แรงงานอีกราย ชื่อว่านางยอน เยิร์ท ซึ่งทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของธุรกิจสัญชาติเกาหลีใต้ กล่าวว่า แรงงานเผชิญกับภาวะยากลำบาก เพราะการใช้จ่ายปากท้องต่อวันสูงกว่าเงินค่าจ้าง เช่น ค่าเช่าห้องพักที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายเรียนหนังสือของเด็ก ค่าจ้างในปัจจุบันที่ 208 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6,656 บาทนั้น แทบจะไม่ช่วยให้อยู่รอดในแต่ละวัน ดังนั้น ต้องหาคนมาเช่าอยู่ด้วยกัน 3-4 คนในห้อง เพื่อเฉลี่ยค่าเช่าห้องพัก ถ้ามีคนมาอยู่ด้วยรวมกัน 2 คน เราไม่สามารถจะอยู่ได้ ถึงแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 232 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 7,425 บาท ก็ช่วยเพียงแค่ผ่อนคลายภาระ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาค่าครองชีพจริง
ในปี 2024 สถาบันวิจัยอังกอ Anker ประเมินว่า ค่าครองชีพสุทธิสำหรับประชาชนชาวกัมพูชาที่อาศัยในเมืองอยู่ที่ 232 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือกว่า 7,425 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัวชาวกัมพูชาที่อาศัยในเขตเมืองต้องมีเงินรายได้ประมาณ 417 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือเดือนละกว่า 13,345 บาท เพื่อให้มั่นใจในการครองชีพขั้นพื้นฐาน รวมถึงความต้องการที่จําเป็น และประกันสังคม
ขณะนี้แรงงานกัมพูชาส่วนใหญ่ในประเทศกัมพูชา กำลังประสบปัญหาเงินเดือนไม่พอใช้ เนื่องจากค่าแรงไม่เพียงพอ สำหรับค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและอื่น ๆ ในแต่ละเดือน จึงเกิดปัญหาแรงงานส่วนใหญ่เป็นหนี้ทั้งในและนอกระบบ ข้อมูลของเว็บไซต์ CNV International ซึ่งเป็นข้อมูลด้านคุณภาพชีวิตแรงงานทั่วโลก เปิดเผยว่า แรงงานกัมพูชามีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ถึง 41% จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แรงงานชาวกัมพูชามากถึง 73% มีหนี้สิน ภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้ชาวกัมพูชาตกกับดักหนี้สิน ทำให้ต้องตัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร สุขอนามัย และการศึกษา