หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สถานการณ์การเมืองในประเทศก็ดูจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น นายอนุทินก็ได้เริ่มเดินเกม เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลทันที ด้วยการทาบทามบุคคลต่างๆที่จะเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อเดินหน้าบริหารประเทศ โดยการจัดสรรโควตาตามจำนวนเสียงจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย รวมทั้งหมด 146 เสียง
ซึ่งบรรดาครม.อนุทิน 1 โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ แน่นอนว่าถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวคราวการทาบทามบุคคลภายนอกเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วถึง 8 คน อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ปตท.เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวรภัค ธันยาวงศ์ อดีต CEO ธนาคาร กรุงไทยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ CEO ดุสิตธานี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ส่วนโควตาพรรคการเมืองต่างๆนอกจากพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังอยู่ระหว่างการจัดสรรตำแหน่ง ซึ่งยังไม่ลงตัว เพราะมีหลายรายชื่อที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติม
และล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ก.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการนำรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขึ้นทูลเกล้าฯ ว่า เกือบสมบูรณ์แล้ว เพราะขณะนี้รายชื่อถือว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ได้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งนอกเหนือการควบคุมของตน เมื่อวันที่ 11 ก.ย. เรารอการตรวจสอบคุณสมบัติ เชื่อว่าอีกไม่นาน
ในส่วนของกระบวนการจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้าหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ใกล้เสร็จแล้ว รอแป๊บเดียว
โดยท่านนายกฯยังบอกอีกว่า รอทุกอย่างต้องเรียบร้อยก่อนถึงจะมีการเปิดตัวบรรดารัฐบมนตรีและหน้าตา ครม.อย่างเป็นทางการ
<ครม.ผสม แบบมีรัฐมนตรีคนนอกฝีมือดีเรียกเชื่อมั่น>
จากรายชื่อรัฐมนตรีที่เก็งกันไว้ โดยมีการให้โควตาคนนอกจำนวนมากเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในครั้งนี้ เป็นการสรรหารัฐมนตรีน้ำดีจากนอกพรรค มาช่วยบริหารประเทศ ซึ่งสำคัญยิ่งในภาวะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยให้ความเห็นถึงโผคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจว่า เท่าที่ติดตามรายชื่อในรอบนี้ถือว่าหน้าตาดูดี โดยดึงคนนอกเข้ามาร่วมทีม มองเป็นเชิงบวกเพราะไม่เอาการเมืองมานำในการแต่งตั้งมากเกินไปเหมือนในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และสร้างเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่ง
ในส่วนของโผรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีรายชื่อของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ผู้บริหารกลุ่มดุสิตธานีที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนั้น เป็นหนึ่งในบุคคลที่หอการค้าฯให้ความเชื่อถือ เพราะที่ผ่านมาก็ได้มาช่วยดูแลงานของหอการค้าไทยทางด้านการค้ามาโดยตลอด
ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยเป็นอธิบดีในหลายกรมของกระทรวงการคลัง ได้เห็นภาพกว้างของเศรษฐกิจไทย และที่สำคัญยังรู้กลไกการขับเคลื่อนในเชิงการเมืองและระบบราชการ คาดหวังจะตัดสินใจในเรื่องการเงิน-การคลัง ของประเทศได้เร็วเพราะรัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
ขณะที่นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน มาจากสายตรงด้านพลังงานอยู่แล้ว มีความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาในเวลานี้คือการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน การแก้ไขเงินบาทที่แข็งค่ามากในรอบ 4 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างมากในเวลานี้
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้สินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษของสหรัฐสินค้าต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาดรวมถึงขอให้กำกับดูแลในการลดดอกเบี้ยนโยบาย และดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลงอีก เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง และมีสภาพคล่องมากขึ้น
ด้านนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า โฉมหน้าครม.เป็นความพยายามในการสร้างความสมดุลระหว่างการเมืองและความคาดหวังของประชาชนจากการเชิญคนนอกที่เป็นมืออาชีพในแต่ละด้านมาผสมผสานกับโควต้าตัวแทนพรรคการเมืองถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่สร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง จากการมีโควต้าคนนอกมานั่งบริหารกระทรวงเศรษฐกิจหลักที่มีความพร้อมในการทำงานได้ทันที ซึ่งการเชิญคนนอกมืออาชีพใช้ตรงกับงานก็เสมือนมีวัตถุดิบได้เชพเก่งมาปรุงแต่งย่อมทำให้คนคาดหวังรออาหารจานอร่อยจากเชพมือดีนั่นเอง
ขณะที่ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองระบุว่า การแต่งตั้งบุคคลภายนอกที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารถือเป็นเรื่องที่ใช้ได้ แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะความท้าทายที่แท้จริงคือการบริหารจัดการภายในรัฐบาลผสม ที่แต่ละกระทรวงจะต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกันและมีเอกภาพ โดยเฉพาะด้านการคลังที่เผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ และ ต้องทำงานภายใต้วงเงินที่จำกัดเพียง 20,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มากพอจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ทันที อีกทั้งรัฐบาลยังมีเวลาทำงานเพียง 4-5 เดือนก่อนการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับการทำนโยบายเชิงโครงสร้าง แต่ก็เป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการเมือง
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงโฉมหน้าครม.ชุดใหม่ ที่มีสัดส่วนคนนอกหลายคนว่า เป็นบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งจากภาคธุรกิจและภาคราชการที่จะมาช่วยบริหารประเทศและบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากสังคม ในเวลาเดียวกันก็มีรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดและรู้ปัญหาประชาชน เพราะเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมา เมื่อมาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเทคโนแครต รวมทั้งผู้บริหารภาคเอกชนถือเป็นจุดที่สร้างสมดุลที่ดีได้ แต่ก็มีความท้าทายในเรื่องของระยะเวลาการทำงานจำกัดเพียง 4 เดือนนี้
<โครงสร้างเศรษฐกิจคือโจทย์ใหญ่ต้องแก้>
รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่าขณะนี้สังคมเริ่มมีความหวังใหม่อีกครั้ง หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้เริ่มเดินหน้าจัดตั้งคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและเร่งรัดนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรื้อฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” ที่เคยประสบความสำเร็จ และเนื่องจากรัฐบาลมีเวลาจำกัดจึงต้องเร่งสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า นอกจากมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว มองว่ารัฐบาลควรเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นผลงานได้ทันที แต่การปรับโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศมีความสำคัญมากและรัฐบาลก็จะได้เครดิตในฐานะผู้ริเริ่ม ทั้งนี้การปรับโครงสร้างที่สามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การแก้กฎระเบียบการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยศึกษาวิจัยแล้วพบว่า หากทำในเรื่องที่สำคัญ เช่น การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจมหาศาล และยังแก้ปัญหาโครงสร้างได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในส่วนของนโยบายใช้เงิน ทีดีอาร์ไอยังห่วงภาระหนี้สาธารณะสูงทำไทยถูกลดเครดิต โดยดร.สมเกียรติ กล่าวว่า รัฐบาลควรทบทวนรายรับรายจ่ายภาครัฐให้สมดุลกัน เพราะที่ผ่านมาภาระหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจจะถูกลดเครดิตเรตติง ซึ่งจะเกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง เช่น เมื่อจะออกพันธบัตร รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงขึ้น และเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ เช่นเดียวกับภาคเอกชน หากจะออกตราสารหนี้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนว่ารายจ่ายด้านใดที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยแต่ใช้เงินมาก และตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่คุ้มค่าลง ขณะเดียวกันจะต้องมีแผนในการหารายได้ ซึ่งคาดหวังกับ รมว.คลังคนใหม่ คือดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่มีประสบการณ์การหารายได้ภาครัฐมาก่อน โดยเคยเป็นทั้งอธิบดีกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต จึงน่าจะมีแนวทางในการหารายได้ที่ชัดเจน สามารถทำให้นักลงทุน และ Credit Rating Agency เชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยจะไม่สร้างที่หนี้สาธารณะสูงเกินไปจนถูกลดเครดิตเรตติง
โจทย์ซึ่งเป็นความคาดหวังของสังคมไปถึงรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า โจทย์หนึ่งที่สำคัญของว่าที่รมว.พาณิชย์ คือการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีฉบับใหญ่ที่ค้างอยู่ คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และกระจายความเสี่ยงของไทยท่ามกลางการกีดการค้าโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา การทำ FTA นี้จึงมีความสำคัญ แต่ต้องยกระดับกองทุน FTA ให้สามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบให้ปรับตัวได้จริง
ในส่วนของว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประชาชนอยากเห็นการปฏิรูปการซื้อขายไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ ในเวลาเดียวกันหากภาครัฐทำให้เกิดการซื้อขายไฟฟ้าเสรีจะช่วยกระจายรายได้ให้ประชาชนได้อีกทางหนึ่งจากการขายไฟที่เหลือใช้จากโซลาร์บนหลังคาบ้านซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
<ลดระดับความขัดแย้งเพื่อนบ้านยังสำคัญ >
การปรับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ลดระดับความขัดแย้ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนไทยและธุรกิจที่พึ่งพาการค้า การลงทุนต่างประเทศได้กลับมาทำธุรกิจกันตามปกติ ในช่วงที่มีการปิดชายแดนซัพพลายเชนที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงว่า หากอยู่ในภาวะแบบนี้เป็นไปยาวนานอาจทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องในไทยพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ดังนั้น หากระทรวงการต่างประเทศสามารถลดความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์ที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางของการผลิตในภูมิภาคตามแนวคิด “”ไทย+1” ด้วย
จนถึงขณะนี้ โฉมหน้าครม.อนุทิน 1 เริ่มชัดเจนมากขึ้น จากภาพที่รัฐมนตรีคนนอกที่มาจากภาคเอกชนในแวดวงเศรษฐกิจ ธุรกิจการเงินที่มีฝีมือ เชื่อว่าจะเป็นทีมที่เข้ามาช่วยเก็บกู้ความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยอีกครั้ง และทำให้หลายคนคลายกังวลได้มากขึ้น เพราะคาดว่ารัฐมนตรีที่มีดีกรีจากการทำงานในหน่วยงานด้านเอกชน จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบาย พาเศรษฐกิจและประเทศเดินไปข้างหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าจะกี่ก้าวก็ตาม