อีก 2 สัปดาห์ผู้ว่าแบงก์ชาติเกษียณชี้รายได้รัฐน้อยกว่ารายจ่าย เตือนชุบชีวิตคนละครึ่งกระทบการเงินงบรัฐบาล ความน่าเชื่อถือประเทศไทยถูกกระทบเสี่ยงโดนหั่นเรตติ้ง

อีก 2 สัปดาห์ ผู้ว่าแบงก์ชาติ เกษียณชี้รายได้รัฐน้อยกว่ารายจ่าย เตือนชุบชีวิตคนละครึ่งกระทบการเงินงบรัฐบาล ความน่าเชื่อถือประเทศไทยถูกกระทบเสี่ยงโดนหั่นเรตติ้ง

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน 2025 นี้ เปิดเผยว่านโยบายคนละครึ่งที่อาจจะมีการดำเนินการต่อเนื่องในรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทาย จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นนั้น การทำมาตรการอะไร อยากให้สอดคล้องกับกรอบความยั่งยืนของการคลังในระยะปานกลาง การทำมาตรการขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบที่จะดำเนินการ ถ้าทำในรูปแบบที่ใหญ่ ใช้เงินเยอะ รัฐบาลก็ต้องมีวิธีให้ตลาด สาธารณชน บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเครดิตประเทศ โดยทำให้เห็นว่าภาพการคลังระยะปานกลางของไทยยังดีอยู่ต่อเนื่อง

แผนนโยบายที่จะดำเนินการตอนนี้ รัฐบาลต้องมีแผนที่บอกว่าการหารายได้จะมาจากแหล่งใด เช่น การจัดเก็บภาษี (VAT) มากขึ้น ซึ่งมีความกังวลว่าหากมีการทำนโยบายต่อเนื่องมีโอกาสกระทบต่อเสถียรภาพการคลังสูง เนื่องจากที่ผ่านมา การทำมาตรการช่วงวิกฤตมีความเสี่ยงว่าวิกฤตจบแล้ว แต่ยังมีมาตรการอยู่ เช่น ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง มีมาตรการที่ทำคือการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ชั่วคราวจาก 10% เหลือ 7% ทำเพียง 2 ปี แต่ขณะนี้ปี 2568 ยังมีการลด VAT จนถึงปี 2569 จึงเป็นข้อเสียการทำนโยบาย ทำให้คนเคยชินกับการได้มาตรการเหล่านี้ได้ และต้องมีการทำต่อเนื่อง

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เปิดเผยต่อไปว่า รัฐบาลมีอายุเป็นรัฐบาลอยู่ที่ 4 เดือน อาจต้องทำนโยบายระยะสั้น แต่หากมองไปข้างหน้ามีการเลือกตั้งครั้งใหม่ รัฐบาลขณะนี้อาจมีมุมมองเพิ่มขึ้นต่อการทำนโยบายระยะยาวด้วย เพื่อรักษาคะแนนเสียงในระยะยาว นั่นหมายถึงการทำนโยบายก็มีระยะสั้น และควรทำนโยบายระยะยาวด้วย มองว่าเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น มองว่าต้องมีเรื่องระยะยาวให้คนรู้ว่ารัฐบาลใส่ใจเรื่องระยะยาวด้วย ดังนั้น การดำเนินนโยบายการคลังไม่ว่าจะในระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ต้องสอดคล้องกับเสถียรภาพการคลังในระยะปานกลางและยาว เพื่อรักษาฐานะทางการคลังด้วย

เสถียรภาพการคลังของไทยในยะยะยาว อาจเสี่ยงกระทบต่อเครดิตเรตติ้ง (Credit Rating) รวมถึงความน่าเชื่อถือ เพราะที่ผ่านมา รายได้รัฐบาลโตไม่ทันรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ปีงบประมาณ 2562-2567 รายได้รัฐบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% โดยปีงบประมาณ 2567 เก็บรายได้อยู่ 2.79 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายรัฐบาล เฉลี่ย 4% ต่อปี โดยปีงบประมาณ 2567 รายจ่ายอยู่ที่ 3.39 ล้านล้านบาท

ดังนั้น เสถียรภาพการคลังระยะยาวจึงเป็นความกังวล ต้องเร่งฟื้นฟูฐานะการคลัง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลเสียหลังจากมูดี้ส์ หรือบริษัทชั้นนำของโลกด้านการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเครดิต สะท้อนความเห็นว่าความแข็งแกร่งทางการคลังของประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลง ท่ามกลางความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของประเทศ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles