สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งไม่หยุด สวนทางกับเงินในกระเป๋าของประชาชน การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ จึงไม่ใช่แค่ลดรายจ่าย แต่ยังเพิ่มรายได้ และหัวใจสำคัญ คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ สภาผู้บริโภค จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าผลักดันนโยบายขนส่งสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็น 20 บาทตลอดสาย ที่เป็นนโยบายพรรคเพื่อไทย หรือ 40 บาทไม่จำกัดเที่ยวต่อวัน ที่เป็นนโยบายช่วงหาเสียงเลือกตั้งของพรรคภูมิใจไทย ที่ขณะนี้เป็นพรรครัฐบาลที่สามารถผลักดันนโยบายที่ตนหาเสียงให้เกิดขึ้นได้จริง เพราะไม่ว่าเป็นนโยบายไหนก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งสิ้น
“แม้นโยบายทางการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกรัฐบาลควรให้ความสำคัญคือการทำเรื่อง ระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากการเดินทางเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน” นี่คือสิ่งที่ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เน้นย้ำระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษเรื่องทิศทางระบบขนส่งสาธารณะของไทย
จุดยืนของสภาผู้บริโภคในเรื่องขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน คือ ค่าเดินทางต่อวันต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเป็นหลักการที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ในการกำหนดราคาค่าโดยสารบริการสาธารณะ เพื่อไม่ให้กระทบค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่คนกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงระบบขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดด้วย
สำหรับประเด็นเรื่องนโยบายขนส่งที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่ สารี ให้ความเห็นว่า ทั้งนโยบาย 20 บาทตลอดสาย และ 40 บาทตลอดวัน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมองในแง่ของประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ ผู้ที่เดินทางหลายครั้งต่อวันจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย 40 บาทตลอดวันมากกว่า เนื่องจากสามารถขึ้นได้ไม่จำกัดเที่ยว ซึ่งเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เสนอให้รัฐผนวก “รถเมล์” ที่เชื่อมต่อกับระบบรถไฟฟ้า หรือ ฟีดเดอร์ (Feeder) เข้าไปรวมอยู่ในราคา 40 บาทด้วย จะทำให้ระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับประชาชน
จัดสรรงบประมาณเพื่อคุณภาพชีวิต
ส่วนเรื่อง “ภาระงบประมาณ” ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล สารียืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ แต่มีปัญหาเรื่อง การจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณ และ การใช้เงินไม่ตรงจุด โดยที่ผ่านมารัฐใช้เงินไปกับการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่จำเป็น เช่น ทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ซึ่งในหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหารถติดได้ แถมยังก่อมลพิษมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณสำหรับขนส่งสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคได้เสนอการจัดหางบประมาณสำหรับทำเรื่องขนส่งสาธารณะ ซึ่งมีที่มาจากหลายแหล่งด้วยกัน อาทิ1) ภาษีล้อเลื่อน สำหรับบริการขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร กทม. มีเงินภาษีล้อเลื่อนสูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี เพียงพอที่จะนำมาสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 หรือ 40 บาทได้ โดยรัฐบาลก่อนหน้าเคยคาดการณ์คาดว่าจะใช้งบดำเนินการเพียง 5,500 ล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องนำเงินภาษีจากจังหวัดอื่นมาใช้
2) ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ (Polluter pays) เป็นแนวคิดที่ให้ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในเขตเมืองใหญ่ที่ก่อให้เกิดมลพิษมีส่วนรับผิดชอบ เช่น การเก็บภาษีที่จอดรถในเมืองเพิ่มเพื่อนำไปเป็นงบประมาณสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นแนวคิดที่หลายประเทศทั่วโลกใช้กัน
3) กองทุนขนส่งสาธารณะระดับจังหวัด สำหรับการส่งเสริมเรื่องระบบขนส่งในต่างจังหวัด สามารถใช้ “ภาษีล้อเลื่อน” ที่จัดเก็บได้ในแต่ละจังหวัดเป็นต้นทุนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนต่างจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) พ.ร.บ. ตั๋วร่วม ได้กำหนดให้มี “กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม”ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างกองทุนกลาง ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบขนส่งได้ นอกจากนี้ยังกำหนดเรื่องระบบค่าโดยสารร่วมของทุกระบบ ทำให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพกบัตรหลายใบ หรือสามารถใช้โทรศัพท์มือถือแทนได้ อีกทั้งผู้ให้บริการรถไฟฟ้ายังมีรายได้จากการสัมปทานป้ายโฆษณา ร้านค้าในสถานีรถไฟฟ้า ก็สามารถนำมาเป็นรายได้เสริมเพื่อสนับสนุนระบบได้อีกด้วย
ผลตอบแทนที่มากกว่าตัวเงิน
การพัฒนาเรื่องระบบขนส่งมวลชน นอกจากจะช่วยให้ประชาชนสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว ยังในผลตอบแทนในแง่มุมอื่น ๆ เช่น นโยบายเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าต้องใช้เงินอุดหนุนนประมาณ 5,500 ล้านบาท แต่จะสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับมาสูงถึง 11,000 ล้านบาท นั่นหมายถึงทุก 1 บาทที่ลงทุน จะได้รับผลตอบแทนกลับมา 2 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และ ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างมหาศาล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมของประเทศโดยรวม และช่วยลดสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนได้อีกด้วย
ระบบขนส่งสาธารณะ…สร้างได้ แค่มี “เจตจำนงทางการเมือง”
เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ยืนยันว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการผลักดันนโยบายเรื่องขนส่งสาธารณะ และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังขาด คือ “เจตจำนงทางการเมือง (Political Will)” ที่แข็งแกร่งจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีในการผลักดันโครงการให้เกิดขึ้น
สารี แสดงความเห็นเพิ่มเติมโดยยกกรณีที่ครม.ในรัฐบาลชุดที่แล้วได้อนุมัติงบประมาณ 2,000 ล้าน เพื่อจัดงานทูมอโร่วแลนด์ (Tomorrowland) ในไทย 5 ปี โดยไม่ต้องผ่านการตีความของกฤษฎีกา ในขณะที่การใช้งบประมาณกลางเพื่อดำเนินการเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย กลับส่งให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งเป็นเหมือนการประวิงเวลา
“สำหรับเรื่องรถไฟฟ้า มองว่าสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กรมขนส่งทางราง (ขร.) และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมสูงที่จะดำเนินการ ขาดเพียงเจตจำนงของภาคการเมืองที่จะทำเรื่องนี้ รัฐบาลไม่ควรหาข้ออ้างในการไม่ดำเนินการ เช่นเดียวกับที่รัฐบาลชุดก่อนเคยทำในอดีต” สารีกล่าว
จุดยืนของสภาผู้บริโภค คือการเรียกร้องให้มีระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน ในราคาที่เป็นธรรม ดังนั้นไม่ว่าจะ 20 บาทตลอดสาย หรือ 40 บาทไม่จำกัดเที่ยวต่อวัน ถือเป็นประโยชน์เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ค่าครองชีพพุ่งสวนทางกับเงินในกระเป๋าของประชาชน