ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหรือเรตติ้งการลงทุนชื่อดังระดับโลกเปิดเผยว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศไทยมีความไม่แน่นอนหลังศาลรัฐธรรมนูญของไทยมีมติปลด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อต้นเดือนกันยายนผ่านไป ส่งผลให้ในปัจจุบันประเทศไทยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยการนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นอกจากนี้ มีแนวโน้มที่รัฐบาลใหม่จะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนเชิงนโยบายบริหารประเทศ
ขณะที่ในภาพรวมของทั้งอันดับความน่าเชื่อถือการลงทุน และมุมมองเศรษฐกิจไทยนั้น ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดมุมมองภาวะเศรษฐกิจเป็นลบ หรือ Negative จากเดิมที่ระดับมีเสถียรภาพ หรือ Stable อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของประเทศไทย (Long-Term Foreign-Currency IDR) นั้น ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับ BBB+
สาเหตุสำคัญมาจากความกังวลด้านการคลังที่เสื่อมถอยลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความเสี่ยงการคลังเพิ่มขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ล่าช้า ความต้องการโลกชะลอตัว และภาระหนี้ครัวเรือนสูง โดยหนี้สาธารณะของไทยแตะ 59.4% ของขนาดเศรษฐกิจ แม้อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานด้านการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง และกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีเสถียรภาพ แต่ความท้าทายการคลังและรายได้ต่อหัวที่ต่ำกว่าประเทศในกลุ่มเดียวกันยังเป็นแรงกดดัน
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยนั้น ฟิทช์คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.2% ในปี 2568 และชะลอเหลือ 1.9% ในปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศในกลุ่มเรตติ้ง BBB ที่ 2.7% ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนแรกอยู่ที่ 21.9 ล้านคน ยังห่างจากสถิติปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน ขณะเดียวกันการส่งออกยังเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้า 19% ของสหรัฐอเมริกา
ในแง่การคลัง คาดการณ์ว่าไทยจะขาดดุลงบประมาณ 4.6% ต่อจีดีพีในปีงบประมาณ 2568 และ 4.3% ในปี 2569 เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เส้นทางการลดหนี้สาธารณะยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ฟิทช์ยังมองว่าไทยมี กันชนด้านการเงินระหว่างประเทศแข็งแรง เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเฉลี่ยยาวนาน ทำให้ไทยมีสถานะเจ้าหนี้สุทธิระหว่างประเทศ 47% ต่อจีดีพี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศที่ได้อันดับ BBB ที่ติดลบ
ฟิทช์ อาจพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หากไม่สามารถควบคุมหนี้สาธารณะต่อจีดีพีได้ หรือหากเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรงจากการติดขัดทางการเมือง ความไม่สามารถควบคุมหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้นิ่งได้ หรือการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่ ปัจจัยบวกต่ออันดับ จะเกิดขึ้นหากรัฐบาลเดินหน้าลดขาดดุลการคลังได้ต่อเนื่อง และเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยไม่สร้างหนี้เอกชนเพิ่มสูง แต่ในทางกลับกัน อาจ ปรับมุมมองกลับเป็นบวก หากรัฐบาลมีความชัดเจนและก้าวหน้าในการลดการขาดดุลการคลัง และเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่เพิ่มภาระหนี้ภาคเอกชนมากเกินไป