หนี้ทั่วโลกหยุดไม่อยู่พุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์กว่า 10,000 ล้านล้านบาท ชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ตั้งแต่อเมริกามายุโรปและเอเชียแห่ก่อหนี้รวมกันพุ่งสูงสุด จีนแชมป์ก่อหนี้ทั้งเพิ่มขึ้นมากสุด และทั้งหนี้ต่อจีดีพีมากสุด

หนี้ ทั่วโลกหยุดไม่อยู่พุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์กว่า 10,000 ล้านล้านบาท ชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ตั้งแต่อเมริกามายุโรปและเอเชียแห่ก่อหนี้รวมกันพุ่งสูงสุด จีนแชมป์ก่อหนี้ทั้งเพิ่มขึ้นมากสุด และทั้งหนี้ต่อจีดีพีมากสุด

สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Institute of International Finance) หรือไอเอเอฟ IIF ซึ่งเป็นองค์กรแห่งหนึ่งที่อยู่ในธนาคารโลก เปิดเผยว่า มูลค่าหนี้ทั่วโลกสิ้นสุดไตรมาสที่สองปี 2025 ที่ผ่านไปพุ่งขึ้นแตะที่ระดับ 337.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10,806 ล้านล้านบาท ส่งผลทำสถิติมูลค่าหนี้ทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้เมื่อครบ 6 เดือนแรกของปี 2025 ปรากฏว่า มูลค่าหนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 672 ล้านล้านบาท

สำหรับประเทศที่มีการก่อหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในอันดับต้นๆ ของโลก ได้แก่สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส สหรัฐราชอาณาจักร เยอรมนี และญี่ปุ่น สาเหตุมาจากภาวะตลาดเงินทั่วโลกผ่อนคลายลงซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารกลาง ทั่วโลกปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในภาพรวมรวมอ่อนค่ามากถึง 9.75% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเฉพาะการก่อหนี้ในกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ 7 ชาติของโลก หรือกลุ่ม G7 และจีน พบว่า จะเป็นการก่อหนี้โดยภาครัฐบาล ซึ่งน้ำหนักสำคัญอยู่ที่การเพิ่มงบประมาณทางการทหารท่ามกลางภาวะความขัดแย้งในการใช้กำลังทางทหารในภูมิภาคของโลก

ไอเอเอฟ เปิดเผยต่อไปว่าขนาดของมูลค่าหนี้ทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 นี้ เทียบเท่าได้กับการเพิ่มขึ้นของหนี้ทั่วโลกในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี 2020 หรือในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ไปทั่วโลก เมื่อพิจารณาอัตราส่วนหนี้ต่อขนาดเศรษฐกิจประเทศ หรือจีดีพี ซึ่งหมายถึงความสามารถในการชำระหนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จะพบว่า จีน แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย และโปแลนด์ มีการก่อหนี้ต่อจีดีพีพุ่งขึ้นมากที่สุด ในทางตรงกันข้ามญี่ปุ่น ไอร์แลนด์ และนอร์เวย์ กลับมีหนี้จัดต่อจีดีพีที่ลดลง

ในภาพรวมนั้นพบว่า อัตราส่วนดีต่อจีดีพีโลก ยังคงมีทิศทางชะลอตัวลงอย่างเบาบางโดยอยู่ที่เหนือกว่า 324% ต่อจีดีพี ในทางตรงกันข้ามอัตราส่วนดังกล่าวในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนากับเพิ่มขึ้นเป็น 242.2% ต่อจีดีพี ส่งผลทำสถิติสูงสุดเป็นพฤติการณ์ครั้งใหม่หลังจากได้มีการทบทวนตัวเลขดังกล่าว ที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

สำหรับมูลค่าหนี้ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาทั่วโลก พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ผ่านไปเพิ่มขึ้นถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 108.8 ล้านล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าหนี้ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 109 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,488 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา ไอเอเอฟ เปิดเผยว่าในปี 2024 อัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพีพบว่ามูลค่าหนี้สินทั่วโลกสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 318 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10,176 ล้านล้านบาท ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกกลับเติบโตชะลอตัว

แม้ว่าส่วนต่างการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะทั่วโลกจะมีถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 224 ล้านล้านบาทในครั้งนี้ จะน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นในปี 2023 ก็ตาม ซึ่งในตอนนั้นมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะลดอัตราดอกเบี้ย ได้กลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้มีการกู้ยืมเงินมากขึ้น

ความเสี่ยงของหนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 160 ล้านล้านบาทในปี 2025 สะท้อนอัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 328% เพิ่มขึ้น 1.5% เนื่องจากระดับหนี้สินของรัฐบาลที่สูงถึง 95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,040 ล้านล้านบาท กำลังสวนทางกับภาวะเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

เอ็มเร ทิฟติก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านความยั่งยืนของ IIF กล่าวว่า อาจเห็นความผันผวนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง ตลาดเกิดใหม่เจอความท้าทายใหญ่ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และตุรกี เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% ของการเพิ่มขึ้นของหนี้สินทั่วโลกในปีที่ผ่านมา

ประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเจอความท้าทายใหญ่ เพราะหนี้สินพุ่งสูงขึ้นมาก ประกอบกับปีนี้ยังมีหนี้เก่าที่ต้องจ่ายคืนอีก 8.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 262 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่สำคัญคือ 10% ของหนี้ทั้งหมดเป็นเงินสกุลต่างประเทศ ทำให้ประเทศเหล่านี้อาจรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ และการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ยากขึ้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles