FETCO แนะ 3 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ เงินบาทแข็งค่า นักวิเคราะห์ ชี้ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งแค่เศรษฐกิจ แต่เพราะอิทธิพลของโลก

เฟซบุ๊ก แฟนเพจ FETCO สภาธุรกิจตลาดทุนไทย  โพสต์ข้อความระบุว่า กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย (ลูกค้ารายย่อย) บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับหลากหลายเหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน เริ่มตั้งแต่สงครามการค้าที่ต้องเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกา ส่วนประเด็นภายในประเทศ เช่น แจกเงินหมื่นไม่ได้ผล การเมืองยังไม่นิ่ง ปัญหาชายแดน หรือ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่คำถามตามมา คือ ทำไมค่าเงินบาทยังแข็งค่า ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้เติบโต โดยเงินบาทที่ยังคงแข็งค่ามีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

เงินบาทแข็ง “แทบจะเท่ากับ” เงินดอลลาร์อ่อนค่า

ปัจจุบันที่เงินบาทแข็งค่า เพราะสกุลเงินบาทรวมถึงสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ ได้รับผลบวกจากเทรนด์ De-Dollarization หรือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์แข็งค่าหรือปรับขึ้นก็จะอ่อนค่าหรือใช้เงินบาทเพิ่มขึ้น (เช่น จาก 33 บาท อาจเป็น 35 บาท ) ในการแลกเป็นเงิน 1 ดอลลาร์

เงินบาทแข็ง “ไม่เท่ากับ” หุ้นขึ้น

เงินบาทแข็ง ไม่ได้แปลว่าหุ้นขึ้นเสมอไป โดยปกติเงินบาทแข็งค่าเปรียบเสมือนเงินไหลเข้าประเทศไทย ซึ่งเงินไหลเข้ามาก็ต้องหาที่ไปไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง (FDI) , การลงทุนในตราสารหนี้หรือการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สังเกตว่าค่าสหสัมพันธ์ หรือ Correlation ระหว่างเงินบาทกับหุ้นไทยไม่ได้สูงมากนัก หรือมีค่า R-square ที่ระดับ 0.62 เท่านั้น

เงินบาทและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ไทย – สหรัฐอเมริกา “ไม่เสมอไป”

หากพิจารณากราฟด้านล่าง วงกลมสีฟ้าและสีแดง พบว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ลดดอกเบี้ย แต่เงินบาทยังอ่อนค่า และเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทก็ยังอ่อนค่า คำตอบคือ ถึงแม้เฟดจะลดดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทก็อ่อนค่า เพราะเงินดอลลาร์แข็งค่าจากการที่นักลงทุนกังวลวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในช่วงปี 2008 ดังนั้น จึงประเมินได้ยากเกี่ยวกับค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มั่นใจ ได้แก่

– เงินบาทอ่อน = ต้องมีค่าเงินอื่นแข็งค่า ซึ่งมักจะเป็นค่าเงินดอลลาร์

– ค่าเงินไม่ได้เคลื่อนไหวตามเศรษฐกิจของประเทศตัวเองในระยะสั้นเท่านั้น แต่เป็นบริบทของโลกประกอบด้วย

ค่าเงินบาทที่แข็งหรืออ่อน ไม่ได้สะท้อนเพียงสภาวะเศรษฐกิจไทย แต่เป็นผลลัพธ์จากปัจจัยโลกที่ซับซ้อน ทั้งการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ สภาวะการเงินโลกและกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ ดังนั้น การประเมินค่าเงินบาทจึงไม่ควรมองเพียงตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศ แต่ต้องจับตาทิศทางดอลลาร์และนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจควบคู่กัน สำหรับนักลงทุน การเข้าใจบริบทนี้จะช่วยให้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน หรือการเลือกจังหวะลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับสภาพตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles