นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) เปิดเผยว่า แผนลงทุนปีงบประมาณ 2569 ของกลุ่มไทยเบฟ (ตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 9,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายธุรกิจต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ทุกกลุ่มธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโต อย่างไรก็ตาม ปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนรวม 12,000 ล้านบาท โดยมองว่า จากนี้ไปภาวะเศรษฐกิจอาจจะเริ่มดีกระเตื้องขึ้น เนื่องจากนโยบายและมาตรการที่ออกมาน่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นมาบ้างทุกระดับชั้น
นายฐาปน ยอมรับว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจปัจจุบันนี้มีมาก ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ สงครามการเมือง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศได้
สำหรับ แผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ ‘Reach Competitively’ หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลง
โดยบริษัทตั้งงบลงทุนรวมปีงบประมาณ 2569 แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจสุรา 2,000 ล้านบาท, กลุ่มธุรกิจเบียร์ 2,000ล้านบาท, กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (NON AL ) 4,000 ล้านบาท และกลุ่มอาหาร 1,000 ล้านบาท เน้นลงทุนกลุ่ม NON AL มากที่สุด เนื่องจากเป็นการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น ฟาร์มนมในมาเลเซีย โรงงานผลิตในกัมพูชา และอื่นๆที่อยู่ระหว่างการศึกษา ขณะที่ในไทยนี้ลงทุนประมาณ 700-800 ล้านบาท เรื่องหลักเป็นเรื่องการปรับระบบการผลิต แพคเกจจิง อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องต้นทุน
ส่วนกลุ่มอาหาร ก็จะขยายสาขาเคเอฟซีเพิ่มไม่ต่ำกว่า 40-50 สาขา แบรนด์โออิชิอยู่ระหว่างปรับภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งใหญ่ซึ่งเริ่มแล้วกับแบรนด์ชาบูชิ และโออิชิราเมง และเตรียมปรับใหญ่โออิชิบุฟเฟ่ต์ ขณะที่แบรนด์เอฟโอเอที่มีหลายร้านอาหาร ก็ได้มีการขยายสาขาไปมากในปีที่แล้ว โดยเฉพาะการเปิดร้านใหม่ๆในตึกวันแบงคอก ปีนี้จะมุ่งการสร้างผลกำไร ขณะที่กลุ่มเบียร์และสุรา ก็มีการขยายตัวทั้งช่องทางการจำหน่าย การตลาด สินค้า และการลงทุนในไทยและต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ขณะที่ ผลประกอบการช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท
ผลประกอบการช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568แยกเป็น ธุรกิจสุรา มีรายได้จากการขาย จำนวน 92,778 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้น
ธุรกิจเบียร์ มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม, ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขาย ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น, ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง