กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยมีสิทธิบัตรยาที่หมดและใกล้หมดอายุการคุ้มครองในไทยอีก 5 ปีข้างหน้า มากกว่า 1,500 ฉบับ ชูบริการเช็คข้อมูลสิทธิบัตรยา ครอบคลุม 6 กลุ่มอุตสาหกรรม 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า กรมฯ ได้เปิดให้บริการระบบแจ้งเตือนสิทธิบัตรที่หมดอายุและใกล้หมดอายุความคุ้มครอง (Patent Early Warning) เพื่อให้นักวิจัย นักประดิษฐ์ และผู้ประกอบการ สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปเตรียมความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์ได้ทันทีเมื่อสิทธิบัตรซึ่งโดยทั่วไปมีอายุความคุ้มครอง 20 ปี หมดอายุลง โดยระบบให้บริการข้อมูลสิทธิบัตรที่หมดหรือใกล้หมดอายุของกรมฯ ครอบคลุม 6 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ 

 อุตสาหกรรมยา ,อุตสาหกรรมเคมี , อุตสาหกรรมไฟฟ้า , อุตสาหกรรมเครื่องมือวัด, อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ และ อุตสาหกรรมวัสดุ ซึ่งสถิติตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้เข้ามาสืบค้นดูข้อมูลดังกล่าว 29,589 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 15,061 ราย 

โดยในส่วนของอุตสาหกรรมยา มีการเข้ามาดูข้อมูลสิทธิบัตรที่หมดหรือใกล้หมดอายุ 2,857 ครั้ง 

จากผู้ใช้งาน 1,071 ราย โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มย่อย ได้แก่ (1) ยาเคมี มีการสืบค้นข้อมูล 2,638 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,066 ราย  (2) ยาชีววัตถุ มีการสืบค้นข้อมูล 2,278 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,043 ราย  (3) ยาสมุนไพร มีการสืบค้นข้อมูล 2,136 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 999 ราย  (4) ยามุ่งเป้า (ยาที่คณะกรรมการพัฒนายาแห่งชาติคัดเลือกให้อยู่ในบัญชียามุ่งเป้าของกระทรวงสาธารณสุข) มีการสืบค้นข้อมูล 2,482 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,054 ราย  (5) วัคซีน มีการสืบค้นข้อมูล 2,126 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 999 ราย  (6) ชุดตรวจ/ชุดทดสอบ มีการสืบค้นข้อมูล 2,116 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 998 ราย และ (7) เวชภัณฑ์ มีการสืบค้นข้อมูล 2,171 ครั้ง จากผู้ใช้งาน 1,003 ราย ทั้งนี้ จำนวนสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมยาที่หมดอายุและใกล้หมดอายุความคุ้มครองในไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า มีมากถึง 1,500 ฉบับ ประกอบด้วย ยาเคมี 1,014 ฉบับ ยาชีววัตถุ 208 ฉบับ ยาสมุนไพร 25 ฉบับ ยามุ่งเป้า 42 ฉบับ วัคซีน 35 ฉบับ ชุดตรวจ/ชุดทดสอบ 230 ฉบับ และเวชภัณฑ์ 25 ฉบับ

ทั้งนี้ ระบบ Patent Early Warning เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยผู้ประกอบการในการวางแผนผลิต “ยาสามัญ หรือยาที่หมดสิทธิบัตรแล้ว” (Generic Drugs) ซึ่งมีตัวยาหรือสูตรตำรับยาเหมือนกับ “ยาต้นแบบ” (Original Drugs) ได้อย่างรวดเร็ว และในราคาที่ถูกกว่า เพราะไม่ต้องลงทุนในการวิจัยหรือพัฒนา ขณะเดียวกันก็สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาผลิตสูตรยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงขึ้น ซึ่งการใช้ข้อมูลสิทธิบัตรอย่างถูกต้องในการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทย “เปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้ายา สู่ผู้ผลิต” สร้างศักยภาพในการผลิตวัตถุดิบยา (Active Pharmaceutical Ingredients: API) ภายในประเทศ ลดการนำเข้าวัตถุดิบยาและการพึ่งพายา ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและทำให้ยามีราคาถูกลง ประชาชนสามารถเข้าถึงยาในราคาที่เหมาะสม โดยกรมฯ พร้อมรับฟังความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปพัฒนาระบบการเข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรหมดอายุหรือใกล้หมดอายุ

ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลเทรนด์สิทธิบัตรที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมของไทยต่อไป

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยยังต้องพึ่งพายานำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 65 – 70 โดยเฉพาะยาต้นแบบที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองสิทธิบัตร ส่งผลให้ยาดังกล่าวมีราคาสูงและมีการแข่งขันในตลาดจำกัด ดังนั้น การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าถึงข้อมูลสิทธิบัตรยาที่หมดอายุหรือใกล้หมดอายุ จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้ไทยสามารถลดต้นทุนการนำเข้ายา แต่ยังเสริมสร้างศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ผลักดันให้เกิดการคิดค้นยานวัตกรรมใหม่และพัฒนายาสามัญได้ทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานอุตสาหกรรมยาที่เข้มแข็งในระยะยาว 

ช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศสู่การพึ่งพาตนเองในด้านยา และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles