สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ คาดส่งออกปีนี้โตได้ 3-5% แม้ครึ่งปีหลังเริ่มชะลอ ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงภาษีสหรัฐ เงินบาทแข็งค่า จ่อกระทบตลาด

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)  เปิดเผยว่า สรท. ยังเชื่อมั่นว่าการส่งออกปี 68 จะเติบโตระหว่าง 3-5% (ณ ต.ค. 68) ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตอย่างมากของการส่งออกในช่วงไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา แม้ในไตรมาส 3-4 จะเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งโดยภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนม.ค.-ส.ค. 68 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 223,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,396,314 ล้านบาท ขยายตัว 4.7% (หักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.3%)

ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 224,880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.3% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 7,544,896 ล้านบาท ขยายตัว 3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนม.ค.-ส.ค. 68 ขาดดุลเท่ากับ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขาดดุลในรูปเงินบาท 148,580 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สรท. เฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะที่เหลือของปี 68 และปี 69 ประกอบด้วยมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) เริ่มส่งผลให้เกิดความผันผวนในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก และสะท้อนความเปราะบางของการค้าโลกในระยะต่อจากนี้ไป ,ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอื่นในภูมิภาค ซึ่งแม้จะเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัจจัยอื่นเป็นตัวเร่งเพิ่มเติม และมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกอย่างยิ่ง ,ข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ส่งผลให้ขาดเงินทุนสำหรับการขยายตัวทางธุรกิจ รวมถึงทำให้การหาตลาดใหม่ชดเชยตลาดเก่าทำได้ในวงจำกัด

รวมทั้งการขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งสืบเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงข้อจำกัดในการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อ ,ปัญหาการสวมสิทธิเพื่อ Re-export สินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่มีมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าไทยในภาพรวม

โดย 7 ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ประกอบด้วย 

1.กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของภูมิภาค และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

2. กำกับดูแลและเร่งปรับลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ต้นทุนพลังงาน รวมถึงชะลอการออกกฎหมายหรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการประกอบธุรกิจ อาทิ

– ขอให้ทบทวน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. … และขอให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมาย เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน รวมถึงการกำหนดกลไกช่วยเหลือนายจ้างที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งจะกระทบกับภาคประชาชนในภาพรวม

– การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขอให้เป็นไปตามกลไกคณะกรรมการไตรภาคี หรือคณะกรรมการค่าจ้าง

3. เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติและเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และเร่งรัด/ขยายการเจรจาความตกลง FTA ให้ครอบคลุมประเทศคู่ค้าสำคัญ จัดสรรงบประมาณเพื่อให้มีกองทุน SME สำหรับการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนรายย่อยซึ่งมีโอกาสทางธุรกิจแต่ขาดเงินทุน และให้ซื้อทุนคืนจากรัฐเมื่อเอกชนรายนั้นมีความสามารถทางการเงินเพียงพอ

4. เร่งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์การค้า โดยเฉพาะปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรมและกำหนดแนวทางดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอของภาคเอกชน

5. เพิ่มความเข้มงวดและกำกับดูแลมาตรฐานราคา ภาษีสินค้านำเข้า ทั้งในรูปของการค้าปกติและการค้าในรูปแบบออนไลน์ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภคและให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ

6. เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบการสวมสิทธิ์สินค้าไทยในการส่งออกไปยังประเทศที่ 3

7. สานต่อนโยบายที่ดีและมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าต่อประเทศมากที่สุด ด้วยการยกระดับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Government) และออกกฎหมายสำหรับกระบวนการทำงานใหม่ในระบบดิจิทัล เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles