ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติเปิดเผยว่า ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจ และสังคมของครัวเรือนสำนักงานสถิติแห่งชาติคำนวณโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าในปี 2566 ภาคใต้มีภาวะหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยสูงที่สุดของประเทศไทยที่ 217,176 บาท อันดับ 2 ภาคอีสาน 200,540 บาท อันดับ 3 ภาคกลาง 194,835 บาท และอันดับสุดท้าย คือภาคเหนือ 182,968 บาท สะท้อนถึงหนี้ครัวเรือนภาคเหนือเฉลี่ยปี 2566 ต่ำกว่าภาคอื่น เนื่องจากการก่อหนี้มีจำกัด
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากระดับหนี้ครัวเรือนภาคเหนือจะต่ำกว่าภูมิภาคอื่น แต่ไม่ได้สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่ดีกว่า แต่เกิดจากศักยภาพในการก่อหนี้มีจำกัด ตามรายได้ที่ต่ำกว่าครัวเรือนภาคเหนือส่วนใหญ่ทำการเกษตรที่มีความไม่แน่นอนสูง มีสัดส่วนผู้สูงวัยสูง รวมทั้งจากผลสำรวจทักษะทางการเงินของชาวเหนือพบว่าภาคเหนือมีความรู้ทางการเงินน้อยกว่าภาคอื่น การศึกษานี้จึงเจาะลึกสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในภาคเหนือ เพื่อสร้างความเข้าใจ หาวิธีป้องกัน และแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีอยู่
หนี้ครัวเรือนชาวภาคเหนือหลังโควิดยังคงน่าเป็นห่วง สะท้อนจากภาระหนี้ต่อครัวเรือนในภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 182,968 บาท ในปี 2566 จากช่วงก่อนโควิด ปี 2562 ที่ 154,064 บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.4% ต่อปี เป็นผลจากครัวเรือนมีรายได้เติบโตไม่ทันค่าใช้จ่าย โดยรายได้ครัวเรือนขยายตัว 4.3% ต่อปี ขณะที่รายจ่ายครัวเรือนขยายตัว 5.0% ต่อปี ครัวเรือนจึงต้องสร้างหนี้เพิ่ม และทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้ปี 2566 ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากก่อนโควิดที่ 49%
ในปี 2566 ระดับรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 19,766 บาท/เดือน รายจ่ายครัวเรือน
อยู่ที่ 18,961 บาท/เดือน ค่างวดชำระหนี้ต่อครัวเรือนอยู่ที่ 2,940 บาท/เดือน
การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในภาคเหนือระหว่างปี 2544 ถึง 2566 พบว่า ในปี 2544 ถึงปี 2560 นั้น หนี้ครัวเรือนเพิ่มต่อเนื่องจากอยู่ที่ระดับ 122,481 บาท มาถึงปี 2560 ที่ระดับ 167,438 บาท จากนั้นในปี 2564 เพิ่มขึ้นสูงสุดระดับ 201,724 บาท
แม้ในภาพรวมจะเห็นภาระหนี้ครัวเรือนในภาคเหนือปรับลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า สะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ของครัวเรือนภาคเหนือ ปี 2566 อยู่ที่ 22% ปรับลดลงเล็กน้อย แต่เป็นผลจากการปรับดีขึ้นในครัวเรือนกลุ่มรายได้สูงเป็นหลัก ขณะที่ครัวเรือนบางกลุ่มมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น ตามค่า DSR ที่สูงกว่าภาพรวมภาคเหนือ ได้แก่
1. ครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อย หรือ ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน มี DSR สูงถึง 40% และกำลังประสบปัญหาหนี้สินเกินตัว
2. ครัวเรือนในภาคเกษตรกรรม มี DSR อยู่ที่ 29% และสูงกว่าครัวเรือนที่ไม่ใช่เกษตรซึ่งอยู่ที่ 19%
3. ครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางมี DSR เฉลี่ย 28% อีกทั้ง สัดส่วนครัวเรือนเปราะบางเพิ่มขึ้นจาก 9% ก่อนโควิด เป็น 10% ในปี 2566 ซึ่งจะเจาะลึกในหัวข้อถัดไป
แบงก์ชาติเปิดเผยต่อไปว่า เมื่อเจาะภาพครัวเรือนกลุ่มเปราะบางในภาคเหนือ มีสาเหตุหลักที่ทำให้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น มาจากรายได้โตไม่ทันรายจ่าย ในมุมมองของเม็ดเงิน เทียบก่อนโควิด [ปี 2566 เทียบกับปี 2562] รายได้ต่อเดือนของครัวเรือนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเพียง 1,818 บาท ขณะที่ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นสูงกว่าถึง 3,450 บาท และยังมีค่างวดต่อเดือนเพิ่มอีก 502 บาท ทำให้ต้องเผชิญความยากลำบากเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 211,811 บาท เป็น 256,012 บาท
ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางในภาคเหนือ จะมีลักษณะดังนี้
1.หนึ่งในสาม หรือ 33% อยู่ในครัวเรือนเกษตร ครัวเรือนเกษตรหลายพื้นที่ประสบกับรายได้ที่ไม่ แน่นอนจากสภาพอากาศต้นทุนที่สูงรายได้และ กำไรน้อยแม้จะมีโครงการสินเชื่อสำหรับเกษตรกร
สนับสนุนแต่หลายรายกลับเป็นหนี้เสีย
2. กว่าครึ่ง…อยู่ในวัยใกล้เกษียณ (56-65ปี)ซึ่งผู้เกษียณในกลุ่มข้าราชการมักมีหนี้สูงเพราะสามารถกู้ได้ ง่ายทำให้มีภาระหนี้ต่อเนื่องจึงมีแนวโน้มที่เงินไม่พอใช้หลังเกษียณ ขณะที่ภาคกลางและใต้มีวัยใกล้เกษียณเพียง 30%
3. พึ่งเงินโอนจากบุคคลภายนอกและภาครัฐสูงถึง 27% ในปี2566 และในช่วงโควิดสูงถึง 54% สะท้อนถึงความเปราะบางที่ต้องพึ่งพารายได้จากแหล่งอื่นเพื่อความอยู่รอด
4. กว่าครึ่ง….มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน เป็นสาเหตุหลักที่มีโอกาสรายได้จะไม่พอใช้จ่ายสัดส่วนนี้ใกล้เคียงภาคอีสาน ขณะที่ภาคอื่นมีต่ำกว่ามีเพียง 1 ใน 4
5. มีหนี้…เพื่อการดำรงชีพใน สัดส่วนสูงถึง 39% โดยเป็นหนี้ยานพาหนะถึง 28% หรือประมาณ 73,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นการซื้อรถจักรยานยนต์ตามความจำเป็นใช้งานของสมาชิกในครัวเรือนรองลงมาคือ หนี้เพื่อการทำเกษตรส่วนหนี้บ้านมี สัดส่วนน้อยเนื่องจากส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และบ้านเดิมของตนเอง
ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางในภาคเหนือ อยู่ในพื้นที่ใด พบว่า จังหวัดที่มีครัวเรือนเกษตรเป็นส่วนใหญ่ เช่น แม่ฮ่องสอนพะเยา พิษณุโลก น่าน และแพร่ มีสัดส่วนครัวเรือนกลุ่มเปราะบางสูง แม่ฮ่องสอนมีสัดส่วนมากถึง 34% พะเยา 31% พิษณุโลก 30% น่าน 29% และ อุตรดิตถ์ 29% และบางส่วนมีผู้สูงอายุที่ไม่มีงานทำอยู่ภายในครัวเรือน อย่างไรก็ดี บางจังหวัด เช่น ตาก ลำพูน และนครสวรรค์ มีสัดส่วนครัวเรือนกลุ่มเปราะบางลดลง เนื่องจากรายได้กลุ่มเปราะบางฟื้นตัวได้ดีกว่าตามภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกอุตสาหกรรมน้ำตาลและเติบโตจากการค้าชายแดน