นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. ช่วง 9 เดือน ปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) มียอดค้ำประกันสินเชื่อรวม 29,695 ล้านบาท ผ่าน 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อที่เป็นมาตรการรัฐ ในสัดส่วน 54% คิดเป็นยอดค้ำประกัน 15,984 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 33,625 ราย และโครงการค้ำประกันสินเชื่อดำเนินการโดย บสย. ในสัดส่วน 46% คิดเป็นยอดค้ำประกัน 13,711 ล้านบาท สามารถช่วย SMEs ได้สินเชื่อ 3,875 ราย โดยในส่วนของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย SMEs ยั่งยืน” วงเงิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมาตรการค้ำกันสินเชื่อที่เน้นช่วย SMEs ลดภาระทางการเงิน โดย ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-4 ปีแรก ปีต่อไปชำระค่าธรรมเนียมตามวงเงินคงเหลือเพียง 1.5-1.75% ต่อปี ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือน ก.ค. 2567 จนถึง 30 ก.ย. 2568 มียอดค้ำประกันรวม 44,517 ล้านบาท และสามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากกว่า 62,703 ราย
โดย ตลอด 9 เดือนของปี 2568 จากการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 122,640 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นกว่า 37,285 ราย แบ่งเป็นกลุ่มรายย่อยหรือ Micro SMEs ในสัดส่วนถึง 84% ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 150,000 บาทต่อราย อีก 16% เป็นกลุ่ม SMEs ค้ำประกันสินเชื่อเฉลี่ย 4.4 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้กว่า 39,335 ล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานรวม 401,871 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า และสารพัดปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ของไทยให้ติดหล่ม จากปัญหาสภาพคล่องและการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบ ซึ่งสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล โดยรัฐบาลเล็งเห็นถึงปัญหาของธุรกิจ SMEs นำมาสู่นโยบาย “Quick Big Win” หรือ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” ซึ่งหนึ่งในด้านที่สำคัญ คือ “การช่วยเหลือธุรกิจ SMEs” ด้วยการเติมสภาพคล่องให้กับ SMEs อย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ บสย. ร่วมขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลในการเข้าไปช่วยเสริมสภาพคล่องให้ SMEs ด้วยการเตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อโครงการใหม่ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SMEs ที่ต้องการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ หรือลงทุนต่อยอดกิจการเพื่อรองรับช่วงไฮซีซัน ในเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งถือเป็น “มาตรการพิเศษ” ที่มุ่งกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อในรายที่ต้องการสภาพคล่องเพิ่มเติม แต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นการลดความเสี่ยงด้าน Credit Cost ให้กับ SMEs และเพิ่มโอกาสด้านเครดิต (Credit Enhancement) เพื่อลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) และทำให้สถาบันการเงินมีความเชื่อมั่นในการพิจารณาสินเชื่อเพิ่มให้กับ SMEs มากยิ่งขึ้น
ตลอด 9 เดือนแรก บสย. ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลม ผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ “บสย. พร้อมช่วย” หรือมาตรการ 3 สี ม่วง เหลือง เขียว ด้วยจุดเด่นของมาตรการแก้หนี้ คือ การตัดต้นก่อนตัดดอก อัตราดอกเบี้ย 0% ผ่อนยาว 7 ปี และพิเศษ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ก.ย. – 31 ต.ค. 2568 บสย. ได้จัดกิจกรรม “บสย. พร้อมค้ำ พร้อมช่วย” เฟส 2 พร้อมเปิดตัวมาตรการสีฟ้า “คุณสู้ บสย. พร้อมช่วย” เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม “ปลดหนี้” ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น โดยเฉพาะลูกหนี้ “กลุ่มเปราะบาง” เงินต้นไม่เกิน 2 แสน ด้วยการลดเงินต้นถึง 50% สูงสุดที่ บสย. เคยทำมา
ทั้งนี้ ตั้งแต่เปิดตัวมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ในปี 2565 จนถึง 30 กันยายน 2568 สามารถปรับโครงสร้างหนี้ 22,481 ราย คิดเป็นมูลหนี้สะสมรวม 14,560 ล้านบาท เฉพาะ 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. – ก.ย.) สามารถปรับโครงสร้างหนี้ 3,992 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 2,688 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็น “กลุ่มเปราะบาง” 2,628 ราย ที่สำคัญจากมาตรการนี้ สามารถช่วยลูกหนี้ “ปลดหนี้” ปิดบัญชีได้สำเร็จถึง 547 ราย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่สามารถช่วยลูกหนี้ “ปลดหนี้” ได้ 116 ราย