จิน เจียง อินเตอร์เนชั่นแนล (Jin Jiang International) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ที่สุดของจีน เปิดเผยว่า กําลังขยายธุรกิจโรงแรมแบรนด์จีนครั้งใหญ่ไเอเชีในตลาดโรงแรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน โดยวางแผนที่จะเปิดโรงแรมมากถึง 180 แห่งในอาเซียนในช่วง 5 ปีข้างหน้า สาเหตุจากการคาดการณ์ว่าแนวโน้มการเดินทางของชาวจีนจากจีนแผ่นดินใหญ่จะเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน
จิน เจียง อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจจีน และเป็นผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เปิดเผยต่อไปว่า เมื่อปลายเดือนสิงหาคมผ่านมา ได้ลงนามความร่วมมือกับกลุ่มยักษ์ธุรกิจโรงแรมชื่อว่า ริยาส โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ต (Riyaz Hotels and Resorts) ของประเทศมาเลเซีย ความร่วมมือครั้งนี้ จิน เจียง อินเตอร์เนชั่นแนล วางแผนภายในปี 2030 จะเปิดโรงแรมแห่งใหม่ใน 6 ประเทศของอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ และเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีแผนเปิดโรงแรมดังกล่าวในประเทศไทย
แผนการเปิดตลาดโรงแรมดังกล่าวนั้น จะดำเนินการภายใต้ 5 แบรนด์ในเครือของจิน เจียง อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แก่ โรงแรมจินเจียง อินน์ (Jinjiang Inn) และ โรงแรมวาเวนเดอ (Lavande) เป็นต้น กลุ่มโรงแรมดังกล่าวมีแผนการเปิดธุรกิจโรงแรมเพื่อจีบกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงด้วยแบรนด์โรงแรมระดับหรูหราไปจนถึงแบรนด์โรงแรมระดับราคาประหยัด การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของจิน เจียง อินเตอร์เนชั่นแนล ถือเป็นการผลักดันครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับการสร้างเครือข่ายธุรกิจโรงแรมในตลาดต่างประเทศที่เป็นของผู้ประกอบการโรงแรมแบรนด์จีน
เอช เวิลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (H World International) ซึ่งเป็นธุรกิจโรงแรมสัญชาติจีนขนาดใหญ่ที่สุดของภาคเอกชนจีน เปิดเผยว่าบริษัทมีเป้าหมายชัดเจนในการที่จะขยายธุรกิจโรงแรมในกลุ่มระดับกลาง โดยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในตลาดต่างประเทศ หลังจากที่ได้มีการเปิดโรงแรมเอสช เวิลด์ แห่งแรกในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นแห่งแรกในตลาดอาเซียนเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ต่อจากนั้นได้เปิดโรงแรมแม็กซ์ (Maxx) ของกลุ่มเอช เวิลด์ ซึ่งเป็นแห่งที่ 2 ในอาเซียนเมื่อปี 2024 ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ขณะที่สำหรับแผนในปีหน้า หรือ 2026 กลุ่มเอช เวิลด์จะเปิดโรงแรมจับกลุ่มตลาดกลางภายใต้แบรนด์ จี โฮเทล (Ji Hotel) ที่ประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ ในปี 2024 ผ่านไป ชาวจีนเดินทางและท่องเที่ยวในอาเซียนรวมกันเป็นจำนวนถึง 20.4 ล้านคน ที่สำคัญ จำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าวในปี 2024 นั้นเพิ่มมากขึ้นถึง 56% เมื่อเทียบกับใน 10 ปีที่ผ่านไป ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวถือว่าเพิ่มสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับผู้เดินทาง หรือนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ หรือจากภูมิภาคอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 16% ในระยะเวลาเดียวกัน