ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง มีความเสี่ยงถดถอย เงินเฟ้อต่ำ ประชาชนต่างชะลอใช้จ่าย เพื่อรักษาเงินในกระเป๋าเผื่อยามฉุกเฉิน เงินสดอาจจะเป็นที่พึ่งเมื่อยามฉุกเฉินได้อย่างแท้จริง แต่ทว่า ล่าสุด รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” รัฐบาลออกครึ่ง เราจ่ายครึ่ง จากการนำโมเดลมาตรการเดิมจากรัฐบาล”พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาต่อยอด ให้มีความยืดหยุ่น และเพิ่มกลุ่มประชาชนมากขึ้น ทำให้มีกระแสตอบรับดีไม่แพ้กัน
จากที่เห็นได้จาก เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา ทันทีที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการ ผ่านแอปพลิเคชัน”เป๋าตัง” ยังไม่ทันข้ามวันกลับพบว่าสิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” ได้เต็มครบ 20 ล้านสิทธิไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงเวลา 16.00 น.ของวันนั้นเลย
อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ได้มีการเปิดให้รอลงทะเบียนรอบเก็บตก ในช่วงวันที่ 21-26 ตุลาคม 2568
จากภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” กลายเป็นสัญญาณแห่งความหวัง ทั้งประชาชน รัฐบาลและผู้ประกอบการรายย่อย ในการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังร่อแร่อ่อนปวกเปียก เหมือนมนุษย์เงินเดือนที่กำลังหมดไฟ แต่จะต้องเร่งปลุกไฟเศรษฐกิจให้ลุกขึ้นมาใหม่ในช่วงระยะอันสั้น เท่ากับการมาและการจะไปของรัฐบาล “อนุทิน ชาญวรชีรกูล” นี้
กำลังซื้อฝืด แม้แต่มาม่ายังยอดขายทรงตัว
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา คุณพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” ได้เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2568 ยังทรงตัว ยอดขายไม่โต ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปรับตัวลดลง เพราะมีการกระตุ้นจากสินค้าใหม่กลุ่มพรีเมียมและการจัดโปรโมชั่น ทำให้ตลาดยังเติบโต แต่ไม่ได้เป็นการเติบโตโดยธรรมชาติเหมือนที่ผ่านมา
การจัดโปรโมชั่นของตลาด ไม่ใช่การทำสงครามราคา แต่เป็นเพราะคนไม่มีกำลังซื้อ ถ้าไม่มีการทำการตลาดแรงๆ ตลาดปีนี้จะไม่โตและซบเซามากกว่านี้ แต่บะหมี่ฯยังคงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคซื้อในยามลำบาก ทำให้ยอดขายยังไม่ได้ตกมาก แต่ผู้ผลิตก็ต้องออกแรงกระตุ้นเยอะขึ้น ตอนนี้ผู้ผลิตไม่กลัวเรื่องดีมานด์ที่จะเพิ่มขึ้นหลังมีโครงการคนละครึ่งพลัส จนกำลังการผลิตไม่พอ ทุกคนห่วงเรื่องกำลังซื้อมากกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีจริงๆ
คุณพันธ์ บอกว่าเอกชนมีความคาดหวังโครงการคนละครึ่งพลัส ที่จะเริ่มใช้วันที่ 29 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2568 โดยคาดว่าจะเป็นแรงหนุนต่อกำลังซื้อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ให้มีความคึกคักมากขึ้น หลังจากกำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวค่อนข้างมาก
ที่ผ่านมายอดขายมาม่าภายในประเทศทรงตัว ดังนั้นในปี 2568 นี้ น่าจะได้รับผลกระทบบ้าง ทำให้ยอดขายลดลงประมาณ 1-2%
กลุ่มเอสเอ็มอีคาดหวัง”คนละครึ่งพลัส”ช่วยกระจายรายได้
คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” คาดว่าจะช่วยสร้างการกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น ประชาชนกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการ SME ในภาคการค้า การบริการ อุตสาหกรรม ตลอดจนเกษตรกรต้นน้ำ ส่งผลให้ GDP ไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังซื้อประชาชนกว่า 33 ล้านราย
นอกจากนี้ยังมองว่า การขับเคลื่อนนโยบายจะมีประสิทธิภาพ หากควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบภาษีและมาตรการเสริม เช่น การทบทวนยกเลิกภาษีเหมาจ่าย การสร้างระบบพี่เลี้ยงภาษีสำหรับ SME การยกเว้นโทษปรับย้อนหลัง รวมถึงการส่งเสริมการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจ เช่น สลาก SME รายเดือน และ Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำ 2% โดยเฉพาะการยกระดับศักยภาพ SME ผ่านการรีสกิล อัพสกิล และพัฒนา Digital Credit Scoring Ecosystem เพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อ ขณะเดียวกันควรส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ลดต้นทุนขนส่ง และใช้พลัง Influencer สนับสนุนการตลาด SME
กลุ่มร้านอาหารหวังกระตุ้นยอดขายอย่างน้อยเป็นเท่าตัว
คุณฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยยอดขายลดลงไปมากกว่า 50%-60% มีเพียง 5% เท่านั้นที่ยังอยู่ดีเพราะมีสายป่าน(เงินทุน)เพียงพอ แต่อีก 95% เผชิญกับความยากลำบาก แต่ก็ต้องประคับประคองดูแลธุรกิจ และดูแลแรงงานในระบบร้านอาหาร ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายมองว่าสถานการณ์หนักยิ่งกว่าช่วงวิกฤต โควิด ด้วยซ้ำ โดยบางส่วนที่อยู่ไม่ไหวก็ต้องปิดตัวไป
ดังนั้น สิ่งที่กลุ่มร้านอาหารต้องการก็คือ ยอดขาย และสำหรับ โครงการ ” คนละครึ่ง พลัส ” คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็นเท่าตัวจากเม็ดเงินของรัฐบาลที่สมทบเข้ามา และเชื่อว่าจะกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าประเภทอื่นๆ ของประชาชนได้เพิ่มขึ้นอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าการใช้จ่ายก็อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่าได้
ขณะเดียวกันการเปิดโอกาสให้ธุรกิจร้านอาหาร ที่เป็นนิติบุคคลได้เข้าร่วมโครงการด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี และเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการที่ต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมายาวนานและการที่ภาครัฐ ดูแลผู้ประกอบการที่ทำดี เชื่อว่าจะเป็นแรงจูงใจให้รายอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
รัฐบาลย้ำไม่ถูกสรรพากรเก็บเงินแน่นอน
คุณสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกว่าสิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวัง อยากจะขอเชิญชวนให้ร้านค้าต่างๆ มาช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ และรับสิทธิของท่านในการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ทราบว่าบรรยากาศการค้าขายตลอด 2 ปีที่ผ่านมาซบเซา โครงการนี้รัฐบาลหวังว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น ดีขึ้นในระยะสั้น เพราะฉะนั้น หากท่านไม่เข้าร่วม เพราะกลัวจะโดนเก็บภาษีย้อนหลัง อาจทำให้ท่านเสียโอกาส ทางรัฐบาลขอยืนยันว่า รายการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระหว่างโครงการคนละครึ่งพลัสสำหรับคนที่เข้าร่วมจะไม่ถูกส่งไปที่กรมสรรพากรอย่างแน่นอน
แอปฯฟู้ดเดลิเวอรี แข่งลดค่า GP รับคนละครึ่งพลัส คึกคัก
ตลาดแอปพลิเคชันสั่งอาหาร (Food Delivery) บ้านเรากลับมาตื่นตัว เกิดการแข่งขันด้านราคาค่า GP (Gross Profit) หรือการแข่งขันด้านอัตราค่าธรรมเนียมที่แพลตฟอร์มเรียกเก็บจากร้านค้า เมื่อมีการนำโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” มาใช้ในร้านค้าโดยเฉพาะรายเล็กรายน้อยในประเทศ ทำให้บรรดาแอปฯฟู้ดเดลิเวอรีมีากรปรับกลยุทธ์ ใช้โอกาสนี้ในการเพื่อสัดส่วนการใช้งานและยึดครองส่วนแบ่งตลาด
ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Grab ได้ปรับลดค่า GP เหลือ 7% แต่ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าด้วยแคมเปญ “GrabFood X คนละครึ่งพลัส ดันยอดโตสูงสุด 9 เด้ง” โดยหั่นค่า GP ลงเหลือ 7% สำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในวันแรก และจัดเต็มด้วยสิทธิประโยชน์ถึง 9 ต่อตลอดโครงการ เสริมด้วยโปรแกรมดันยอดขาย-ส่วนลดพิเศษจากแกร็บมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท และสินเชื่อสำหรับร้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท เป็นการเน้นรักษาฐานลูกค้าและสร้างผลกำไรในระยะยาว
ขณะที่ Robinhood ภายใต้การบริหารของ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด งัดมาตรการพิเศษ ทุ่ม ลด “GP 0% สำหรับร้านค้า 5,000 ร้านแรก” ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส โดยร้านค้า 5,000 ร้านค้าแรกที่เข้าร่วมโครงการฯ และใช้ Robinhood จะไม่เสียค่าธรรมเนียม ขณะที่ผู้บริโภคยังสามารถใช้บริการจากร้านอาหารได้ถูกลง ยิ่งหากมีจำนวนร้านค้าในแอปฯ เพิ่มมากขึ้น จะยิ่งสร้างความน่าดึงดูดให้ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นไปด้วย “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ด้าน LINE MAN ขานรับนโยบายคนละครึ่งพลัส ด้วยการเปิดตัวแคมเปญที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ใหม่มากมาย พร้อมเล่นใหญ่ ดึง “พี่หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้แนวคิด “เบอร์ 1 คนละครึ่ง” โดย LINE MAN มองว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส จะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค และยังกระจายรายได้สู่ร้านอาหารและไรเดอร์ทั่วประเทศ แม้จะไม่ได้ประกาศชัดเจนถึงตัวเลข GP ที่ลดให้ร้านค้า แต่การมีมาตรการลดค่า GP จะช่วยกระตุ้นให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการหันสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ผ่านสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งแคมเปญการตลาดและโปรโมชั่น ส่วนลดค่าอาหาร สิทธิส่งฟรี และคูปองส่วนลดเพิ่มเติม
” แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง พลัส” ครั้งนี้ จะไม่สามารถชดเชยยอดขายที่สูญเสียไปตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ผู้ประกอบการ หรือภาคเอกชน ยังมองว่าจำเป็นในภาวะวิกฤต แต่ยังคงวาดฝันไว้ว่าจะสามารถกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีให้เพิ่มขึ้นได้ 20-30% ช่วยผู้ประกอบการประคองธุรกิจให้อยู่รอดผ่านพ้นปีที่ยากลำบากนี้ไปได้ในที่สุด อีกทั้งการใช้จ่ายของประชาชน จะเป็นเม็ดเงินที่พอจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ไม่มากก็น้อย “