นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้กลับมาอยู่ในจุดที่ตลาดทั่วโลกให้ความสนใจอีกครั้ง โดยมี 2 ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในช่วงโค้งสุดท้ายของเดือนตุลาคม ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯจีน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของทองคำ เนื่องจากอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนและกดดันทองคำได้ในเวลาเดียวกัน
ขณะเดียวกันตลาดกำลังจับตาการประชุมเฟดในคืนวันพุธที่ 29 ตุลาคมนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงถึง 98% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% หลังจากล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด โดยมีดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว และสถานการณ์ดังกล่าวจะสนับสนุนความคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อประคองเศรษฐกิจ และหากเฟดลดดอกเบี้ยตามคาดการณ์ ส่งผลให้เป็นปัจจัยบวกโดยตรงและเป็นแรงพยุงสำคัญต่อราคาทองคำ
สำหรับอีกประเด็นสำคัญที่ตลาดจับตามอง ได้แก่ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งล่าสุดมีพัฒนาการเชิงบวก ทั้งสองฝ่ายได้ “เก็บรายละเอียดขั้นสุดท้าย” ของร่างข้อตกลงการค้าสำเร็จแล้ว และเตรียมส่งต่อให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พิจารณาในสัปดาห์นี้อีกทั้งผู้นำทั้งสองประเทศมีกำหนดพบปะกันนอกรอบการประชุม APEC ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคมนี้ ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า คาดหวังให้การพูดคุยครั้งนี้นำไปสู่ “ข้อตกลงที่สมบูรณ์” ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะช่วยคลายแรงกดดันทางการค้า และสร้างแรงกดดันออกมาเป็นระยะจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน
อย่างไรก็ตามสัปดาห์นี้ประเมินว่า ภาพรวมทองคำยังอยู่ในภาวะการพักฐานที่ยังไม่จบ และด้วยสัปดาห์นี้มีปัจจัยข่าวสำคัญทั้งสองด้าน ซึ่งอาจหนุนหรือกดดันราคาทองได้พร้อมกัน จึงควรใช้กลยุทธ์อย่างระมัดระวัง
โดยล่าสุด ราคาทองถูกกดดันให้ปรับตัวลงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 4,000 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ทำให้ฝั่งขาซื้อเหลือแนวรับสำคัญที่บริเวณ 3,850-3,820 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เพื่อพิจารณาเข้าซื้อ (ราคาทองคำไทยประมาณบาททองคำละ 59,000-58,500 บาท) ซึ่งเป็นโซนแนวรับสำคัญสุดท้ายของฝั่งขาซื้อ และราคาไม่ควรหลุดระดับดังกล่าว เพราะหากหลุดอาจส่งผลให้กราฟรายเดือนเสียรูปการขึ้นและเข้าสู่ช่วงพักตัวต่อเนื่อง หากกราฟสามารถยืนระยะได้บริเวณฐานดังกล่าวก็มีโอกาสที่จะเริ่มสร้างโครงสร้างขาขึ้นระยะสั้น เพื่อให้สามารถขึ้นไปทำกำไรได้บริเวณ 4,000-4,100 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งเทียบเท่าราคาทองคำไทยราวบาททองคำละ 61,300-62,800 บาท