รัฐบาลจีนประกาศคำสั่งการยกเลิกมาตรการเก็บภาษีทองคำที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน โดยกระทรวงการคลังจีนจะไม่อนุญาตให้ผู้ค้าปลีกนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จ่ายจากการซื้อทองคำในตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) มาหักออกเมื่อขายต่อ ไม่ว่าจะขายโดยตรงในรูปทองแท่ง หรือผ่านกระบวนการผลิตเป็นเครื่องประดับก่อนขายก็ตาม มาตรการนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 เป็นต้นไป คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศจีนซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดทองคำรายใหญ่ของโลก
รัฐบาลจีน เปิดเผยว่าการยกเลิกสิทธิประการเก็บภาษีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐท่ามกลางวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีน และเศรษฐกิจจีนโดยรวมชะลอตัวลง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2025 ผ่านมา ธนาคารกลางจีนเปิดเผยแผนงานการเป็นสถาบันการเงินดูแล และสำรองทองคำของรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อเป้าหมายส่งเสริมความเป็นสถาบันการเงินอิสระในตลาดทองคำแท่งของโลก แผนงานนี้จะยกระดับ และส่งเสริมให้ตลาดซื้อขายทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange) เป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดความสนใจของธนาคารกลางจากประเทศพันธมิตรของจีนให้เข้ามาซื้อ ขาย และเก็บรักษาทองคำแท่งไว้ที่จีน
คณะกรรมการระหว่างประเทศ ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (SGE) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 จะทำหน้าที่บริหารจัดการทองคำสำรองที่รับฝาก และเก็บไว้ในคลังสำรองเพื่อเป็นช่องทางหลักในการซื้อขายทองคำแท่งระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับคู่ค้าในจีน ทองคำแท่งที่จะเก็บรักษานั้น จะเป็นทองคำสำรองในคำสั่งซื้อล็อตใหม่ ไม่ใช่การย้ายทองคำสำรองเดิมจากที่ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ธนาคารกลางจีนจะดำเนินการในเรื่องนี้ แต่จีนยังห่างไกลที่จะขึ้นเป็นศูนย์กลางการจัดเก็บทองคำสำรองของโลกเมื่อเทียบกับสหรัฐ และสหราชอาณาจักร ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) มีทองคำสำรองจากทั่วโลกเก็บไว้รวมกันมากกว่า 5,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 19 ล้านล้านบาท และยังตอกย้ำบทบาทของประเทศอังกฤษ ในฐานะตลาดซื้อขายทองคำระดับโลกที่ครอบคลุมบริการรับฝากทรัพย์สิน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของศูนย์กลางทองคำ และช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดการซื้อขายมากขึ้น