ในงานสัมมนา The Standard Economic Forum 2025 “Thailands Next Frontier” นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาถกฐาพิเศษ หัวข้อ “Unlocking Growth and Shared Prosperity ก้าวต่อไปของไทย : ปลดล็อกการเติบโตสู่ความมั่งคั่งที่ทุกคนเข้าถึงได้” ระบุว่า รัฐบาลมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่ม จากเดิมที่คาดว่าไตรมาส 4/68 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 0.3% เท่านั้น แต่ขณะนี้คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เกิน 2% จากการที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งโครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการคนละครึ่ง พลัส, และโครงการเที่ยวดีมีคืน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเสาหลักที่ 1 ตามนโยบายของรัฐบาลในการฟื้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้เร่งเดินหน้าเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียภาคประชาชน ผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในกลุ่มประชาชนที่มีหนี้เสีย (NPL) ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งเป็นการดึงเม็ดเงินที่เหลือจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” จำนวน 2 หมื่นกว่าล้านบาท มาดำเนินการซื้อหนี้เสีย โดยจะมีมาตรการตัดต้น ลดดอก ยืดอายุหนี้ เพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้สามารถมีลมหายใจต่อไปได้ และหากลูกหนี้มีวินัยผ่อนชำระดี ก็จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อใหม่ในระบบได้ด้วย ตรงนี้ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ลูกหนี้กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง และถือเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืน
สำหรับการดำเนินการในเฟสแรก กับลูกหนี้ NPL ของธนาคารพาณิชย์, ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และนอนแบงก์ เฉพาะที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์รวมประมาณ 2 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 6 หมื่นล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ที่อยู่ในข่ายทั้งหมด 3.5 ล้านราย คิดเป็น 4.7 ล้านบัญชี มูลหนี้รวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเร่งจัดตั้ง AMC ภายในขึ้นมา เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียของลูกหนี้ภาคเกษตร ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ราว 1 แสนราย มูลหนี้ราว 7-8 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือน พ.ย.นี้ โดยจะเร่งแก้ปัญหาสินเชื่อภาคเกษตรก่อน เนื่องจากมีความเฉพาะตัวมาก ไม่เหมือนกับสินเชื่อทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีการลงทุนมานาน ซึ่งเมื่อไม่มีการลงทุน ก็ไม่มีแรงในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโต ทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับ Outlook ของไทยลง แต่สิ่งที่รัฐบาลเห็นทางออก นั่นคือการใช้เครื่องมือทางการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) มาช่วยทำให้เกิดการลงทุนสำหรับอนาคตใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งดำเนินการผ่านกองทุน TFF คือ โครงการ Floating Solar (โซลาร์ลอยน้ำ) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมาก หลักการคือ รัฐบาลจะนำรายได้ในอนาคต (Future Income) จากโครงการดังกล่าวมาขายให้กับนักลงทุนบางส่วน จะช่วยให้เรามีเงินทุนเข้ามาเพื่อนำไปขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยที่ กฟผ. ไม่ต้องกู้เงิน
ตลอดจนจะเร่งเพิ่มทักษะของแรงงานไทย เพื่อสร้างคนเก่งให้สอดรับกับการลงทุนเพื่ออนาคต โดยเตรียมจะดึงเม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อมาใช้ในการ Up-Skill/ Re-Skill ให้แรงงานไทยเก่งขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเร่งปลดล็อกกฎ กติกา และระเบียบต่าง ๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนผ่านการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ยังมีเม็ดเงินค้างท่ออีกราว 4.7 แสนล้านบาท เพื่อเร่งผลักดันเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว