นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 126,836 ล้านบาท ลดลง 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5% จากไตรมาสก่อน และขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ 2,915 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 19,312 ล้านบาทในไตรมาส 3/2567 และขาดทุนสุทธิ 3,616 ล้านบาทในไตรมาส 2/2568
ขณะที่งวด 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 392,763 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสุทธิ 9,099 ล้านบาท ดีขึ้น50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 18,072 ล้านบาท
นายทิติพงษ์ กล่าวว่ารายได้ไตรมาส 3/2568 ที่ปรับลดลง มาจากราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นต้นและกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ปรับตัวลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายผันแปรเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 2/2568 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น หลังจากมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานตามแผนในไตรมาสก่อน แต่ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งค่าใช้จ่ายการผลิตปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 3/2568 จากต้นทุนธุรกิจบริการที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17% จากกลุ่มบริษัท Vencorex ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ และมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท ที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รายได้อื่นในไตรมาส 3/2568 ปรับเพิ่มขึ้น จากไตรมาสก่อน 87% และ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัทได้รับกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐ อีกทั้งรายได้จากธุรกิจบริการปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ค่าเสื่อมราคาและรายการตัดบัญชีในไตรมาส 3/2568 ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการปรับลดการบันทึกมูลค่ายุติธรรมของที่ดินที่ถูกนำมาจำนองจากกรณีคดีความที่เกิดขึ้นในอดีตของบริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ทั้งนี้ค่าเสื่อมราคาและรายการตัดบัญชีปรับลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเสื่อมราคาของกลุ่มบริษัท Vencorex ปรับลดลงหลังการเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ อีกทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินปรับลดลง 13% และ 29% จากไตรมาสก่อน และไตรมาส 3/2567 ตามลำดับ จากการจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนการลดหนี้
โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 34,111 ล้านบาท เมื่อรวมสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียน 329 ล้านบาท ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินรวม34,440 ล้านบาท
และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 0.50 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อ EBITDA 7.63 เท่า
อย่างไรก็ตามงบลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) บริษัทตั้งไว้ที่ 952 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการลงทุนของบริษัท allnex ประมาณ 657 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับโครงการเพิ่มความมั่นคงของวัตถุดิบสำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ (Olefins Feedstock Security Enhancement – OFS) และอื่นๆ
สำหรับความคืบหน้าโครงการเพิ่มความมั่นคงของวัตถุดิบสำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ หรือ OFS ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดหาวัตถุดิบอีเทนจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อนำมาใช้เพิ่มความมั่นคงของวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันสำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัท และคาดว่าเริ่มนำเข้าอีเทนและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572
ส่วนแนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 2569 บริษัทคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่เฉลี่ย 65-69 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยด้านอุปสงค์ปรับลดจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ บริษัทคาดการณ์การฟื้นตัวของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์พาราไซลีนและผลิตภัณฑ์เบนซีนเป็นไปอย่างจำกัด คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2569 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 240-270 เหรียญสหรัฐต่อตัน และสำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 155-185 เหรียญสหรัฐต่อตัน บริษัทคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2569 อยู่ที่ 88%
ขณะที่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ บริษัทคาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนในปี 2569 จะอยู่ที่ 830-850 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 770-790 เหรียญสหรัฐต่อตัน
สำหรับภาพรวมผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ มีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ผลิตหลายรายที่มีต้นทุนการผลิตสูงจะมีการเดินเครื่องที่ลดลง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ขณะที่อุปสงค์ปลายทางมีทิศทางที่ค่อยฟื้นตัว